Tuesday, October 12, 2010

พุทธประวัติ-0130-ปรินิพพาน

ภาพปางปรินิพพาน (แสดงภาพพระพุทธองค์ด้วยสัญลักษณ์ คือสถูปรูปบาตรคว่ำ) มีการถวายบังคมพระบรมศพ และการบรรเลงด้วยเครื่องบรรเลงรูปร่างแปลก มีบางอย่างซึ่งชาวอินเดียยอมรับว่า ในบัดนี้หาของจริงดูไม่ได้แล้ว ยังมีอยู่แต่ในภาพเช่นนี้. แถมมีภาพเทวดามีปีก ซึ่งจะต้องถกกันดูว่า ใหม่หรือเก่ากว่าเทวดาแบบฝรั่ง หรือใครเอาอย่างใคร

--------------------------------------------------------------------------

ภาพพระพุทธองค์ปางปรินิพพาน. ผู้ดูควรจะเปิดข้ามไปดูภาพที่ ๔๘ และ ๔๙ เพื่อการเปรียบเทียบดูเสียก่อนจะช่วยให้เข้าใจอะไรบางอย่างได้เร็วขึ้นจากการเปรียบเทียบนั้น. ภาพที่ ๔๗ เป็นแบบสาญจี,ภาพที่ ๔๘ เป็นแบบภารหุต, และภาพที่ ๔๙ เป็นแบบอมราวดี ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนเองด้วยกันทั้งนั้น ทั้งในส่วนทรวดทรงของสถูป และเครื่องประกอบหรือประดับ ที่เป็นมาตรฐานของศิลปกรรมสกุลนั้น ๆ.

ปัญหาข้อแรกที่จะต้องสนใจมีอยู่ว่า ภาพพระสถูปเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ทั้งของพระศพที่ปรินิพพานใหม่ ๆ และของพระสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับแบ่งพระสารีริกธาตุไป. ทำให้ต้องวินิจฉัยกันว่า ภาพสถูปภาพไหนเป็นภาพพระศพและภาพไหนเป็นพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิธาตุในตอนต่อมา.

การที่ถือว่า พระสถูปแบบนี้เป็นสัญลักษณ์ของพระศพนั้น มีเหตุผลง่าย ๆ ตรงที่ว่า ไม่มีภาพอื่นใดที่แสดงถึงฉากตอนปรินิพพานเลย นอกจากภาพสถูปเช่นในภาพที่ ๔๗ นี้เป็นต้น. สมัยปัจจุบันนี้ เราเขียนภาพพระพุทธองค์ประทับนอนอยู่บนแท่นระหว่างต้นไม้สองต้น; แต่ในสมัยที่ยังไม่ยอมทำรูปพระพุทธองค์นั้น ทำไม่ได้ เพราะไม่ทำรูปคน, และแม้ที่จะทำเป็นแท่นว่างยาวระหว่างต้นไม้สองต้น ก็ไม่ปรากฏเลย, เมื่อภาพตอนอื่นเสร็จไปแล้วมาถึงตอนนิพพานก็ทำภาพพระสถูปชนิดนี้เลยทีเดียว, ดังนั้นจึงถือว่า พระสถูปรูปร่างเช่นนี้เอง คือสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ปางปรินิพพาน หรือกล่าวโดยเจาะจง ก็คือพระศพในวันที่เสด็จปรินิพพานนั้นเอง.

อีกอย่างหนึ่ง ที่จะสังเกตได้ง่าย ๆ เหมือนกัน คือเมื่อฉากสำคัญทั้ง ๔ ฉาก (คือฉากประสูติ-ตรัสรู้-แสดงธรรมจักร-นิพพาน) จะต้องนำมาสลักไว้ในหินแท่งเดียวกัน ในลักษณะที่เรียกว่า epitome แล้วเราจะพบได้ทั่ว ๆ ไปว่า ฉากที่สี่คือปรินิพพานนั้นจะถูกแสดงไว้ด้วยรูปสถูปเช่นนี้เสมอ เป็นการตายตัว เช่นเดียวกันกับฉากตรัสรู้ที่แสดงด้วยภาพต้นโพธิ์, ฉากแสดงธรรมจักร แสดงด้วยภาพลูกล้อ, ส่วนฉากประสูตินั้น มีได้มากกว่า ๑ อย่าง เช่น ภาพกอบัวในกระถางแบบมถุรา, หรือลายขยุกขยิก (ดังในภาพที่ ๒๓) เป็นต้น, ซึ่งไม่ค่อยจะตายตัวเหมือนฉาก ๓ ฉากที่เหลือ. ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือได้โดยแน่นอนว่า รูปพระสถูปนั้น ถ้านับเนื่องอยู่ในพระพุทธประวัติแล้ว ย่อมเล็งถึงพระพุทธองค์ในขณะปรินิพพานด้วยเสมอไป, มิใช่เป็นเพียงรูปสถูปบรรจุพระอัฐิธาตุแห่งเวลาต่อมาแต่ประการใด.

ในภาพที่ ๔๗ นี้ มีสิ่งที่ควรศึกษาคือ ครึ่งบนเป็นส่วนของสถูปซึ่งเล็งถึงการปรินิพพาน, ครึ่งล่าง คือภาพหมู่คนซ้อนกันสองแถว เล็งถึงการบังคับและการสมโภชพระศพด้วยดนตรีเป็นต้น, ซึ่งถือกันว่าเป็นการกระทำของมัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินาราอันเป็นเจ้าของประเทศที่นิพพาน ตลอดเวลาเจ็ดวันดังที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถา หรือตำนานชื่ออื่น.

ส่วนที่เกี่ยวกับพระสถูปนี้ มีตัวสถูปรูปบาตรคว่ำ หรือมะนาวตัดครึ่ง, อยู่บนฐานประทักษิณ ๓ ชั้น, ข้างบนยอดมีแท่นสี่เหลี่ยม มีฉัตรปักอยู่ ๓ คัน, แต่ละคันมีมาลัยแขวน, ห้อยแผ่นผ้าหรือแผ่นธง ๒ ข้าง, มีเทวดาแบบกินนรขนาบ ๒ ข้าง ข้างละ ๒ ตัว, ซึ่งจะดูให้มีความหมายเป็นประจำอยู่ทั้ง ๔ ทิศก็ได้, ใต้เทวดาลงมา มีคนถือมาลัยบูชาอยู่ข้างละ ๒ คน. สำหรับเทวดานั้น มีลักษณะอย่างเดียวกันกับที่เคยทำประกอบสองข้างพระแท่นมีต้นโพธิ์ หรือแม้สองข้างวงล้อธรรมจักรดังในภาพที่ ๔๒, ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นเทวดาที่ประจำสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ในทุก ๆ แบบนั่นเอง, นับว่าเป็นแบบฉบับโดยเฉพาะของศิลปกรรมสกุลนี้ ซึ่งควรกำหนดไว้ตลอดไป จะสะดวกแก่การศึกษาของตนเองอย่างยิ่ง. เทวดาฝรั่งนั้น มีปีกเหมือนกัน แต่ทำเป็นรูปคนตามธรรมดาอย่างเต็มตัวแล้วมีปีกนิดเดียว ไม่น่าจะพาตัวลอยได้แถมมีมือถืออาวุธและอื่น ๆ รับใช้พระเป็นเจ้าได้ในทุกกรณี, ส่วนเทวดาแบบนี้ ทำตัวเป็นนก มีปีกหางมากพอที่จะบินไหว, แต่อย่างไรก็ตาม ปีกหรือหางเป็นต้นนั้น ไม่ควรเข้าใจไปว่าเป็นของจริงตามนั้น ควรถือเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการที่สามารถเหาะลอยไปได้เท่านั้นเอง คือมีฤทธิ์เป็นพิเศษในส่วนนั้น, จะทำตัวเป็นนกหรือทำตัวเป็นคน ย่อมแล้วแต่ศิลปะแห่งยุคนั้นหรือถิ่นนั้น.

ส่วนล่างที่เกี่ยวกับหมู่คนนั้น จะเห็นได้ว่าที่ตรงกึ่งกลางของคนแถวบน มีคนอยู่คนหนึ่งกำลังไหว้อยู่อย่างแหงนหน้า คงจะเป็นตัวประธานหรือตัวเจ้าภาพเอง นอกนั้นเป็นญาติหรือบริวาร, ถือเครื่องสักการะบ้าง, พนมมือบ้าง, ส่วนคนริมขวาสุดนั้นถือธงแผ่นผ้าผืนยาว ซึ่งจัดเป็นเครื่องสักการะด้วยเหมือนกัน. ส่วนแถวล่างนั้นเป็นชาวประโคมล้วน มีเครื่องดนตรีต่าง ๆ กัน, สองคนริมซ้ายสุด เป่าปี่หรือแตรซึ่งทางปากเป็นรูปงู. คนที่สามเป่าเครื่องเป่าชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยเลาสองเลา ซึ่งคงจะเป็นภาพนี้เอง ที่เจ้าหน้าที่ทางอินเดียแนะให้สังเกตว่า มีเครื่องดนตรีบางชนิดที่บัดนี้ในอินเดียเองก็ไม่มีแล้ว และไม่ทราบว่าเป็นอะไร, คนที่สี่และที่ห้า ตีเครื่องตีประเภทกลอง, ส่วนคนที่หกและที่เจ็ดตีเครื่องตีรูปร่างแบน ๆ. ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นที่สนใจอย่างยิ่ง สำหรับครูบาอาจารย์ทางวิชาดนตรี ว่าทางอินเดียซึ่งเป็นต้นตอวัฒนธรรมประเภทนี้ แม้แก่ชาวไทยเรานั้น เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว เขามีเครื่องดนตรีอะไร เป็นชุดอย่างไร ในขนาดที่ใช้ในราชสำนักหรือที่เป็นแบบมาตรฐาน. และที่ต้องสังเกตอีกอย่างหนึ่ง คือที่เท้าของนักดนตรีเหล่านั้น มีผ้าพันแข้ง มีเชือกพันทับอย่างหยาบ ๆ ด้วย. ชะรอยจะมีความหมายถึงการแต่งตัวเต็มยศ หรือสุภาพหรือแสดงความเคารพด้วยนั่นเอง. คนทั้งสองแถวนี้ มีแถวละ ๗ คนเท่ากัน. ในคนทั้งหมดนี้ไม่มีใครที่แต่งศีรษะอย่างพระราชาเลย, ถ้าการสันนิษฐานว่าคนที่ไหว้อย่างแหงนหน้าในแถวบน เป็นกษัตริย์ที่เป็นประธาน เป็นการสันนิษฐานที่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องสันนิษฐานต่อไปว่า กษัตริย์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่แต่งศีรษะอย่างกษัตริย์ในคราวไว้ทุกข์แก่บุคคลสูงสุดไว้อีกกระมัง, เพราะว่าในภาพไหน ๆ ก็ตามที่แล้ว ๆ มา กษัตริย์แต่งศีรษะอย่างเห็นได้ว่าเป็นกษัตริย์เสมอ, ทั้งแบบสาญจี และแบบภารหุต, และเป็นอย่างเดียวกับศีรษะเทวดา, ส่วนในภาพนี้มีศีรษะลุ่น ๆ เกลี้ยง ๆ เหมือนชาวบ้านทั่วไป.

ในแง่ของศิลปะและโบราณคดีโดยตรงนั้น มีแง่ที่ควรศึกษาอย่างยิ่งก็คือแบบของพระสถูปนั่นเอง สำหรับผู้สนใจทางแบบแผนหรือแม้แต่คติที่ถือกันในทางศาสนา, เท่าที่ควรทราบกันไว้บ้างนั้นมีดังนี้ : -

ภายในตัวสถูปแท้ ๆ นั้น เต็มไปด้วยดินปนกรวดหรือหินตามธรรมชาติ, มีโพรงเล็ก ๆ ประกอบกันขึ้นด้วยแผ่นหิน ในลักษณะหีบสี่เหลี่ยม ในโพรงนั้น บรรจุหีบศิลาที่เล็กเข้ามา แต่สวยงามหรือประณีตยิ่งขึ้น, ในหีบนั้นซึ่งบางรายอาจจะมีซ้อนกันมากกว่า ๑ ใบ, บรรจุของมีค่าไว้ตามสมควร เช่นเศษทองเงินแกะหรืออัดเป็นภาพเล็ก ๆ เป็นเครื่องบูชาพระอัฐิ ซึ่งอยู่ในผอบหินที่ดีที่สุด กลึงหรือแกะสลักให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้. จากโพรงศิลานี้ มีท่อเล็ก ๆ ประกอบขึ้นด้วยอิฐ ทำนองท่อระเหยอากาศ ตรงขึ้นไปทางเบื้องบนจะถึงยอดสุด เพื่อให้โพรงศิลาข้างใต้นั้นระบายอากาศได้นั่นเอง, และน้ำฝนส่วนน้อย อาจซึมลงไปถึงส่วนล่างได้ด้วยก็ได้. ดินซึ่งเป็นองค์สถูปทั้งหมดนั้น ก่ออิฐด้วยปูนยึดไว้ไม่ให้พัง แล้วใช้แผ่นหินสวย ๆ มีลวดลายหรือไม่มีแล้วแต่กรณี, บุหน้าอิฐทั้งหมดนั้นอีกต่อหนึ่ง จนดูเป็นหินไปทั้งองค์, ตรงที่จรดกับพื้นดินโดยรอบ เรียกว่า เมธิ หมายถึงฐาน, จากฐานออกมาโดยรอบ ทิ้งว่างไว้พอประมาณสำหรับเดินได้รอบ เรียกว่า ปทกษิณ. รองวงประทักษิณนี้ ยกรั้วขึ้นโดยรอบ เรียกรั้วนี้ว่า เวทิกา. (ดังที่เห็นได้ในภาพสถูปภายนี้); ดูในภาพแล้ว จะเห็นว่ารั้วนี้ มีกรอบอันล่างติดกับพื้น และเรียกหินชิ้นนี้ว่า อาลมพน, และมีชิ้นที่ยืนเป็นอันยืนเป็นระยะ ๆ ไป เรียกว่า สตมภ หรือสดมภ์ในภาษาไทย. ซึ่งแปลว่า เสา, ชิ้นที่เรียก สตัมภะ นี้ มีรูให้ชิ้นที่จะเสียบขวางเข้าไปอีก, สองหรือสามชิ้น แล้วแต่กรณี, อันที่จะเสียบร้อยสตัมภะทั้งหมดให้เนื่องกันนี้ แต่ละอัน ๆ เรียกว่า สูจิ. แปลว่า เข็ม เช่นเข็มเย็บผ้า, ยังมีชิ้นขนาดใหญ่เท่าชิ้นล่าง ครอบข้างบน

หัวสตัมภะอีกทีหนึ่ง ให้แน่นหนาเนื่องกันหมด, เหมือนอันที่เรียกอาลัมพนข้างล่าง แต่ไม่เรียกว่า อาลัมพน, ไปเรียกเสียว่า อุษณีษ์ ซึ่งแปลว่า ครอบหน้าหรือกรอบหน้า. ถ้าฐานประทักษิณมีหลายชั้น เช่นมี ๓ ชั้นดังในภาพนี้ ก็ต้องมีบันไดขึ้นไปจากชั้นล่าง เรียกบันไดนี้ว่า โสปาน, จากประทักษิณขั้นบนสุดขึ้นไปถึงตัวสถูปโดยตรง ซึ่งมีลักษณะเหมือนบาตรคว่ำดังเช่นในภาพนี้. เรียกส่วนที่เหมือนบาตรคว่ำนี้ว่า อณฑ แปลว่าฟองไข่, หรือบางทีก็เรียกว่า ครภ (ตรงกับภาษาไทยวา ครรภ์) แปลว่า ห้อง หรือ มดลูก, และเรียกพระอัฐิที่บรรจุไว้ในนั้นว่า พีช แปลว่า พืช, เหนืออัณฑะขึ้นไปถึงรั้วสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายแท่นสี่เหลี่ยม ส่วนนี้เรียกว่า หรมิกา หรือ หรรมิกา ในสำเนียงไทยเรา, บนหรรมิกานี้ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับว่า มีพระพุทธองค์ประทับอยู่ ปักฉัตรไว้คันหนึ่งหรือหลายคันแล้วแต่กรณี ดังในภาพนี้มีปักไว้ ๓ คัน, และเรียกว่า ฉตร ซึ่งได้กลายมาเป็นภาษาไทยเราว่าฉัตร ตรงกันตามสำเนียงเดิม. ที่รั้วชั้นนอกสุด มีซุ้มประตูเข้าออกเรียกว่า โทรณ ดังที่เห็นอยู่ในภาพที่ ๔๗ นี้ ๑ ประตู. ที่เสาประตู มีคานขวางเหนือประตู ที่เสารั้ว ที่ขอบรั้วอันบนมีการสลักภาพตามความประสงค์. แม้ภาพที่นำมาแสดงในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ก็อยู่ตามที่เหล่านี้เอง. ทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบของสิ่งที่เรียกว่าสถูป ตามแบบมาตรฐานทั่วไป ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ตายตัว, ส่วนลวดลาย หรือเครื่องประดับเบ็ดเตล็ดนั้น อาจจะทำได้ตามใจชอบ. พระสถูปแบบนี้เองที่ค่อยวัฒนาการมาเป็นสถูปแบบลังกา กระทั่งมาสู่ประเทศไทยกลายเป็นสถูปเช่นที่นครปฐม และนครศรีธรรมราช เป็นต้น. อะไรได้เพิ่มเข้ามาหรือหายไปอย่างไร ขอให้พิจารณาดูเอาเอง และเราควรจะคิดนึกปรับปรุงของเรากันใหม่อย่างไรต่อไปอีกบ้าง ก็น่าจะลองนึกกันดู เพื่อผลอันดีทางจิตใจยิ่งขึ้น ดีกว่าที่จะถือทิฏฐิมานะไปตะพึดแล้วเดินไกลออกไปทุกที จากสิ่งที่เคยเป็นแบบฉบับและมีค่าทางจิตใจอย่างสูงมาแล้วแต่กาลก่อน.


พุทธประวัติ-0120-เสด็จลงจากเทวโลกหลังโปรดพุทธมารดา

บันได มีรอยพระบาทอยู่ด้านบนและด้านหลัง มีเทวดาคอยตามส่งเสด็จด้านล่างของบันไดมีมนุษย์คอยรับเสด็จ

แสดงเหตุการการเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงห์ที่สังกัสสะนคร หลังจากได้่เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาด้วยการแสดงอภิธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน)

เป็นที่มาของการแสดงอภิธรรมในงานศพ

พุทธประวัติ-0110-พระเจ้าพิมพิสารเสร็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า


ภาพพระราชาองค์หนึ่ง (พระเจ้าพิมพิสาร) เสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์ (ซึ่งในที่นี้คือบัลลังก์ว่าง สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ริมบนสุดด้านซ้ายมือของผู้ดู) ซึ่งประทับอยู่ ณ ยอดเขาคิชฌกูฏด้วยขบวนใหญ่. ภาพพระราชาองค์เดียวกันนั้นถูกแสดงหลายหน คือ เมื่ออยู่บนหลังช้างตอนที่เสด็จด้วยช้าง, ตอนที่อยู่บนรถเมื่อเป็นระยะที่เสด็จด้วยรถ, ออกจากวังและจากประตูเมืองเป็นระยะ ๆ ไป กระทั่งถึงพระองค์แล้ว ยังแสดงด้วยท่าทางอีก ๒ ท่า คือถวายบังคมด้านตรง และด้านข้าง

--------------------------------------------------------------------

ภาพนี้เป็นภาพตัวอย่างที่น่าศึกษาอีกภาพหนึ่งของศิลปกรรมแบบที่สาญจี, เป็นภาพพระราชาองค์หนึ่งเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ พระคันธกุฎิที่ยอดภูเขาแห่งหนึ่ง. ภาพตั้งต้นจากมุมบนขวา คือชาวบ้านกำลังดูขบวนเสด็จของพระราชาอยู่บนเฉลียงเรือนของตน ๆ, พระราชาเสด็จด้วยช้างในที่ควรเสด็จด้วยช้าง, เสด็จด้วยม้าในที่ควรเสด็จด้วยม้า, และเสด็จด้วยรถในที่ควรเสด็จด้วยรถ, เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเมื่อถึงเขตที่ควรเสด็จดำเนินด้วยพระบาท สมตามคำที่มีกล่าวไว้ในบาลีต่าง ๆ กระทั่งถึงอรรถกถาจนถือเป็นแบบฉบับตายตัวอย่างหนึ่งทีเดียว. มีราชบริพารตามเสด็จ ถือเครื่องใช้ต่าง ๆ ตามธรรมเนียม และมีหม้อน้ำมีพวยซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการให้ทานอย่างที่จะขาดเสียมิได้ เพราะพระราชาอาจจะเรียกหาทันทีที่ต้องการให้ทาน, โปรยทาน, หรือถวายทานก็ตาม, เพื่อหลั่งน้ำจากพวยกานั้นในขณะที่บริจาคทาน. ตอนในเมือง เสด็จด้วยช้าง ด้วยม้า, พอออกจากประตูเมืองเสด็จด้วยรถเทียมม้า, และเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเมื่อถึงเขตอุปจารแห่งพระวิหาร, แล้วเข้าเฝ้าถวายบังคมพระพุทธองค์ ซึ่งในที่นี้แสดงด้วยภาพพระแท่นว่าง สี่เหลี่ยม ตามแบบของสมัยสุงคะตามเคย หากแต่ไม่มีต้นโพธิ์ประกอบอยู่ข้างบน ซึ่งเข้าใจว่าคงจะเนื่องด้วยเนื้อที่จำกัด, อยู่ทางริมซ้ายบนสุด, ใต้พระแท่นมีลายขยุกขยิกซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำหรับภูเขา และเป็นยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของพระคันธกุฎี ซึ่งต้องเล็งถึงเขาคิชฌกูฏโดยไม่ต้องสงสัย, ดังนั้น พระราชาองค์นั้น ก็ต้องเป็นพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งแคว้นมคธอันมีนครหลวงชื่อกรุงราชคฤห์นั่นเอง, หรือนครคิริพชก็เรียก.

พระราชาองค์เดียวกันในภาพนี้ ถูกแสดงด้วยภาพ ๒ ภาพ (ทำนองเดียวกับภาพลิงสองตัวในภาพที่ ๔๕) เพื่อให้เห็นท่านนมัสการทั้งสองท่า คือทั้งในขณะเฝ้า และขณะเวียนประทักษิณเดินออก. มีข้อความกล่าวไว้ชัดในบาลีและอรรถกถาว่า การเฝ้าพระพุทธองค์นั้น ไม่เฝ้าตรงพระพักตร แต่จะเฉียงไปข้างใดข้างหนึ่งพอสมควรคือไม่ข้างจนพระองค์ต้องเอี้ยวพระพักตรไปหา ไม่ใกล้หรือไกลเกินไป กระทั่งไม่เหนือลมเป็นต้น เรียกว่าเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง (เอกมนต อฏฐาสิ), ถ้าเป็นมนุษย์ก็จะยืนเฝ้าตอนแรกเข้าไป แล้วจะนั่งลง, ถ้าเป็นเทวดาจะยืนเฝ้าอยู่จนกระทั่งกลับ. เมื่อกลับออกจะเวียนประทักษิณ คือเดินอ้อมเป็นวง โดยมีสีข้างข้างขวาของตนอยู่ทางพระพุทธองค์เสมอไป, ไม่มีการหันหลังให้พระพุทธองค์เลย จนกว่าจะลับสายพระเนตรแล้ว. ดังนั้นจึงเข้าใจว่าในภาพภาพนี้ ศิลปินได้กระทำอย่างถูกต้องแล้วตามระเบียบหรือวัฒนธรรมนั้น คือ ภาพหนึ่งกำลังเฝ้าอยู่ ภาพหนึ่งเดินประทักษิณเมื่อกลับ, ซึ่งประณมมืออยู่ตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน, มีหน้าตาอิ่มเอิบอย่างยิ่ง.

มีเสาประตูเมือง มีช่อง ๆ ซึ่งแสดงว่าในเสานั้นกลวงดังที่วิจารณ์กันแล้วในภาพที่ ๓๐ อีกตามเคย. บ้านเรือนและจั่วหลังคาก็แบบเดียวกันหมด ในบรรดาภาพสลักที่สาญจี. น่าชมความคิดที่จัดภาพบรรจุลงไปในพื้นที่น้อยนิดและจำกัดได้อย่างเหมาะสม คือตั้งต้นที่ริมขวาบนสุด แล้วจบเรื่องริมซ้ายบนสุดเหมาะสมกันที่ภาพบุคคลศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ในที่เช่นนั้น. เพราะเนื้อที่น้อยไป จึงไม่อาจบรรจุภาพต้นโพธิ์และภาพเทวดาประจำต้นโพธิ์ลงในภาพนี้ได้, ทำให้เห็นว่า เมื่อจำเป็นเข้า จริง ๆ ศิลปินก็จะต้องทิ้งระเบียบบ้างเหมือนกัน. การที่จะตั้งข้อสงสัยว่า ชะรอยภาพนี้อาจจะเล็งพระพุทธองค์เมื่อก่อนตรัสรู้ เพราะมีเรื่องกล่าวว่าพระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์ในขณะที่แรกผนวชใหม่ ยังไม่ทันตรัสรู้ ณ ที่ภูเขาแห่งหนึ่งด้วยเหมือนกัน, นั้นก็ยังไม่มีเหตุผลพอ เพราะว่าในภาพที่ ๒๗ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ภาพต้นโพธิ์นั้นได้ใส่ให้กับแท่นว่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนเสด็จมาอุบัติในมนุษยโลกนี้ด้วยซ้ำไป, ดังนั้นจึงถือว่า ศิลปินอาจจะเว้นต้นโพธิ์หรืออะไรบางอย่างเสียบ้างก็ได้ ในเมื่อเกิดความจำเป็นดังที่กล่าวแล้ว, ทั้งที่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วเราจะเห็นได้ว่า ศิลปินที่สลักภาพสาญจีนี้ เป็นศิลปินที่ถึงขนาดและทำตามความประสงค์ของพระราชาที่ทรงเคร่งครัดที่สุดด้วย.

รายละเอียดเกี่ยวกับข้าราชบริพาร ๑๑ คนที่มุมริมซ้ายล่างนั้นไม่สามารถที่จะบรรยายได้ในที่นี้ แต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งต้องทิ้งไว้สำหรับการศึกษาต่อไป, ท่านผู้ใดทราบขอได้ช่วยอธิบายด้วย.

ในแง่ของโบราณคดี ควรจะสังเกตว่าในภาพนี้ก็ดี ภาพอื่น ๆ ก็ดี รูปร่างของแผ่นธง เป็นธงแผ่นผ้า หรือธงประฏากทั้งนั้น ไม่ได้เห็นธงสามเหลี่ยมเรียวยาวเลย. เข้าใจว่า สำหรับอินเดียนั้น ธงสามเหลี่ยมเรียวยาวนั้นจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเศษผ้าสำหรับประดับประดาเท่านั้นเอง, ในเมืองไทยเรายังจะมีเกียรติกว่าเสียอีก. สำหรับขอช้างนั้นช่างมีอายุยืนเสียจริง ๆ สองพันกว่าปีแล้ว ช่างไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงรูปร่างเสียเลย, นี่เป็นเครื่องแสดงว่าอะไรก็ตาม ถ้ามันถูกเทคนิคหรือดีจริง ๆ แล้ว ก็เป็นการยากที่ใครจะไปแตะต้องมันได้. สำหรับบ้านเรือนนั้น มันคงจะต้องเปลี่ยนแปลงรูปร่างทุก ๆ ร้อยปี, ห้าสิบปี, กระทั่งทุก ๆ สิบปี ก็เปลี่ยนแบบกันเสียทีหนึ่ง. นี่แหละความไม่มีร่องรอยของมนุษย์ถ้าไม่มีอะไรบังคับ.


พุทธประวัติ-0100-เทศนา, นาฬาคีรี, องคุลีมาล, อนาถปิณฑิกเศรษฐี

อนาถปิณฑิกเศรษฐีบริจาคเงินสร้างวัดพระเชตวัน โดยซื้อที่ดินที่ราคาเอาเงินมาปูเต็มพื้นที่






องคุลีมาล



ช้างนาฬาคีรี


แสดงธรรมเทศนา

พุทธประวัติ-0090-ทรมานชฏิล

ปราบชฏิลสามพี่น้อง โดยพระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ที่เหนือกว่าให้ชฏิลยอมแพ้ และรับฟังเทศนาจนสุดท้ายได้บรรลุธรรม

พุทธประวัติ-0070-ภาพมารวิชัย


คือแสดงเป็นภาพยักษ์มารที่ดุร้าย และสตรียั่วยวน ตามที่เราเคยเห็นกันทั่วไป. บัลลังก์มีเบาะว่างอยู่ มีต้นโพธิ์อยู่ข้างหลัง นั่นคือสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์, มารบางคนมีหน้าที่ท้อง, ไทยเราได้แบบนี้มาเช่นเดียวกับภาพมหาภิเนษกรมณ์แบบอมราวดียุคกลาง.

พุทธประวัติ-0080-การตรัสรู้ของพระสิทธัตถะ

ภาพการตรัสรู้ของพระสิทธัตถะ ในสมัยพวกเรานี้ เขียนเป็นภาพคนนั่งโคนต้นไม้ริมแม่น้ำ มีอาทิตย์เวลารุ่งอรุณ, ส่วนภาพในหินสลักชิ้นแรกของโลก ได้สลักเป็นภาพดังภาพข้างบนนี้, คือบนบัลลังก์มีเครื่องหมายซึ่งเรียกว่า "ตรีรตนะ" อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ซึ่งมีกิ่งแยกออกเป็น ๓ ทาง มีฉัตรกั้นข้างบน มีเทวดาถือมาลาขนาบสองข้าง มีคนบูชาข้างละสอง รวมเป็น ๔ คน มีห่าฝนดอกไม้ของทิพย์. ทั้งหมดนั้นมีความหมายอย่างหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ ไม่ใช่ภาพเหมือน

-----------------------------------------------------------------------

ภาพนี้เป็นภาพการตรัสรู้; แทนที่จะสลักเป็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งโคนต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำ แล้วมีดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมา ดังที่เขียนกันอยู่ในเวลานี้ แต่กลับทำเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังที่ปรากฏอยู่ในภาพนี้ ซึ่งควรจะพิจารณาดูโดยละเอียด.

เครื่องหมายตรีรตนะในภาพนี้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า อยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม ซึ่งโดยทั่วไปก็เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีเครื่องหมายตรีรตนะดังในภาพนี้; จึงกล่าวได้ว่าคงจะถือเป็นกรณีพิเศษสำหรับภาพนี้ อย่าลืมว่า แท่นสี่เหลี่ยมใต้ต้นโพธิ์เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในหินสลักแบบสาญจี จนถือเป็นลักษณะเฉพาะของแบบสาญจี เพื่อแทนองค์พระพุทธเจ้า แม้ในกรณีที่เป็นการเสด็จดำเนินไปตามหนทาง หรือจงกรมบนผิวน้ำดังเช่นในภาพที่ ๔๓ เป็นต้น.

ตรีรตนะอยู่บนแท่น, แท่นอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่า โพธิฆรหรือเรือนพระโพธิ์ ซึ่งในภาพนี้ทำเหมือนซุ้มประตูมีหน้ามุข ๓ มุข ล้วนแต่มียอดแหลม ที่ช่องหน้าจั่วมุขมีกิ่งโพธิ์ออกมาทั้ง ๓ ช่อง, ช่องกลางแตกออกเป็น ๒ กิ่ง, เหนือต้นโพธิ์ขึ้นไปมีฉัตรซึ่งมีมาลัยแขวน มีเทวดาในลักษณะกินนรขนาบสองข้าง ถือเครื่องบูชาทั้งสองมือ, ใต้เทวดาลงมาตรง ๆ มีดอกไม้ทิพย์ร่วงลงมาจากสวรรค์เป็นการบูชาการตรัสรู้. ใต้ดอกไม้ลงมาตรง ๆ สองข้างเรือนพระโพธิ์นั้น มีคนยืนอยู่ข้างละสองคน ในลักษณะของเทวดา, ข้างเสาซุ้มเรือนพระโพธิ์ มีมาลัยแขวนอยู่อีกข้างละพวง. ริมบนสุดมีอักษรพราหมีอยู่หนึ่งบรรทัด เป็นชื่อเจ้าของทานผู้บริจาคเงินสร้างหินสลักส่วนนี้.

สิ่งที่ควรสังเกตบางอย่างในภาพนี้ เช่นตรีรตนะมีเปลวข้างบนเป็นห้าแฉก แทนที่จะเป็นสามแฉกเหมือนที่ปรากฏในที่อื่นทั่ว ๆ ไป, หรือที่มีลักษณะคล้ายกับว่ามีเพียงสองแฉกซึ่งกระเดียดไปในทางที่จะเป็นนันทิบทของฮินดู เพราะทำแฉกตรงกลางต่ำเกินไป. ซุ้มเรือนพระโพธิ์นี้ ถูกคาดไว้โดยรอบด้วยลายรั้วแบบรั้วอโศก ซึ่งควรสนใจไว้ เพราะจะพบในภาพอื่นที่สำคัญกว่านี้ และเป็นลักษณะเฉพาะของแบบสาญจีเป็นพิเศษ ทำนองว่าลวดลายนี้ก็เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ซุ้มจั่วนั้นแม้จะทำด้วยหินแล้ว ก็ยังทำให้มีลักษณะเหมือนทำด้วยไม้อีกตามเคย เช่น มีส่วนหัวของไม้แปแลบออกมาให้เห็นเป็นจุด ๆ รอบจั่วนั้น.

ในแง่ของธรรมะ อาจจะตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมศิลปินจึงออกแบบให้มีมุข ๓ มุข หรือมีกิ่งโพธิ์แลบออกมา ๓ กิ่ง. เข้าใจว่าคงจะมีความหมายอย่างเดียวกับตรีมูรติ (พระเจ้าสามองค์ในองค์เดียวกัน) ซึ่งได้ทำให้กลายเป็นต้นกำเนิดของตรีรตนะหรือตรีมูรติตามความหมายของพุทธศาสนาเองในภายหลัง ทำนองเดียวกับเครื่องหมายตรีรตนะที่อยู่บนแท่นข้างล่างนั่นเอง. การที่ทำให้กิ่งโพธิ์ในซุ้มกลาง มีกิ่งแตกออกไปมากกว่าในซุ้มสองข้างนั้น เข้าใจว่าคงมิใช่เพื่อความงาม หรือความจำเป็นในทางศิลป์บังคับให้ทำเช่นนั้น แต่อาจจะเป็นเจตนาต้องการแสดงความหมายโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษก็ได้ เพราะซุ้มกลางย่อมเล็งถึงพระธรรม ซึ่งย่อมจะมีอะไรมากกว่าซุ้มทั้งสองข้าง ซึ่งเล็งถึงพระพุทธ และพระสงฆ์เป็นธรรมดา. ข้อที่พระธรรมมีอะไรมากกว่า หรือสำคัญกว่า หรือเหนือกว่าพระพุทธและพระสงฆ์นั้น ควรตั้งข้อสังเกตกันไว้เพื่อทำการศึกษาให้เข้าใจจริง ๆ โดยอาศัยหลักพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้เมื่อคราวตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ ว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพพระธรรม, มิใช่อยู่โดยไม่เคารพอะไร.

สำหรับภาพคนที่ยืนอยู่ข้างโพธิฆรข้างละ ๒ คนนั้น คงจะไม่ใช่ภาพเจ้าของทานดังที่บางคนเข้าใจ เพราะแบบเช่นนั้นแสดงว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นมนุษย์ จึงเข้าใจว่าเป็นท้าวโลกบาลทั้งสี่, หรือที่เรียกรวมกันเป็นชุดว่า จตุโลกบาล, แทนในนามของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มารับรู้ในการตรัสรู้ หรือกล่าวอย่างตรง ๆ ก็ว่า การตรัสรู้นั้นได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในสากลจักรวาลนั่นเอง. สำหรับเทวดาแบบกินนร ๒ ตัวข้างบนเป็นเพียงส่วนประกอบของต้นโพธิ์ตามแบบของศิลปะ

สาญจี ดังที่เคยกล่าวมาข้างต้น. ของบูชาที่เป็นทิพย์ ที่ร่วงลงมาจากสวรรค์แน่นขนัดดังห่าฝนนั้นมีความหมายถึงการบูชาอย่างใหญ่หลวงของเทวดา ทุกคราวที่เทวดามีความพอใจถึงที่สุด และคำกล่าววว่าดอกไม้ทิพย์ได้ร่วงลงจากสวรรค์นี้ ได้กลายเป็นธรรมเนียมไป ในเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญทำนองนี้หรือเท่านี้เกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์.

ในแง่ของศิลปกรรม ควรจะสังเกตในข้อที่ศิลปินเหล่านี้ไม่ทำภาพการตรัสรู้เป็นการนั่งใต้ต้นโพธิ์ริมแม่น้ำ และมีดวงอาทิตย์อุทัยเหมือนที่ทำกันในยุคนี้ ซึ่งมีความหมายในทางธรรมะน้อยเกินไป ไม่สมแก่บุคคลสำคัญเช่นพระพุทธเจ้า, ข้อนี้ทำให้เรานึกกว้างออกไปว่า พวกเราสมัยนี้หมุนมาติดในทางรูปธรรมกันมากเกินไป จนไม่ค้นคว้าความหมายในทางธรรมหรืออะไร ๆ ที่ลึกไปกว่ารูปธรรม เราจึงค่อยกลายมาเป็นวัตถุนิยมกันยิ่งขึ้นจนมีบาปและต้องรับบาปเพราะเหตุนั้น. แม้ว่าในสมัยนี้เราจะมีศิลปะประเภทแอ๊ปสแตร็คต์ หรือโมดเดิลอาร์ตกันเป็นบ้าเป็นหลัง ก็ยังมีความหมายที่ไปติดอยู่ในรูปธรรมอีกนั่นเอง, ไม่เลยออกไปถึงนามธรรมในระดับของคนโบราณได้เลย. ดังนั้น การศึกษาวิธีของศิลปะยุคสองพันกว่าปีมาแล้วกันไว้บ้าง อาจจะช่วยให้เราใช้ศิลปะไปในทางที่จะเป็นเครื่องดับทุกข์ในโลกนี้ได้ตามส่วนสัดแห่งค่าของศิลปะนั้น ๆ. เราต้องไม่ลืมว่า ศาสตร์ หรือศิลป์แขนงไหนก็ตาม ถ้าไม่มีจุดมุ่งไปในทางช่วยกันกำจัดความทุกข์ของโลกโดยปริยายใดปริยายหนึ่งแล้ว ศิลปะนั้นจะมีค่าเหมือนขยะมูลฝอยที่มีสีสันแปลกประหลาดและชวนรำคาญตาอย่างยิ่งเท่านั้นเอง; ควรระวังในการที่ลืมตัวไปเห่อตามศิลป์ที่เมาวัตถุของสมัยนี้กันให้มากสักหน่อย ศิลปะไทยของชาวพุทธจึงจะเป็นไทยไม่พ่ายแพ้แก่อวิชชา ซึ่งกำลังครอบคลุมโลกยิ่งขึ้นทุกที และยิ่งไปบูชามันมากยิ่งขึ้นทุกทีเหมือนกัน.

พุทธประวัติ-0060-มหาภิเนษกรมณ์

ภาพมหาภิเนษกรมณ์ แบบสาญจี ออกจากประตูเมือง ประทับหลังม้า มีเทวดาแบกท้องม้า ไม่ทำรูปพระองค์ มีฉัตรกั้นหลังม้า ออกไปในลักษณะที่คนเห็น ๆ กันอยู่ ตรงตามบาลีมัชฌิมนิกายที่กล่าวว่า เสด็จออกต่อหน้าเมื่อบิดามารดากันแสงอยู่, ไปจนถึงที่ลงจากม้าสุดทางขวามือ และม้าถูกพากลับเมือง.

--------------------------------------------------------------------------

ภาพมหาภิเนษกรมณ์แบบสาญจี เป็นภาพเดียวแต่ยาวเกินไปกว่าที่จะพิมพ์ลงในหน้ากระดาษขนาดเล็กเช่นนี้ จึงได้ตัดออกเป็นสองภาพ ผู้ดูจะต้องดูพร้อมกันโดยเอามาต่อกันเข้า โดยอาศัยภาพต้นไม้ในคอกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เป็นเครื่องกำหนด. ภาพที่ ๓๕ เป็นท่อนต้น, และภาพที่ ๓๖ เป็นท่อนปลาย.

ก่อนแต่ที่จะอธิบายภาพนี้ ต้องทำความเข้าใจกันโดยวงกว้างเสียก่อนว่า การออกมหาภิเนษกรมณ์นั้น ในคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างไรบ้างและแตกต่างกันอย่างไร. สำหรับภาพในหินสลักยุคเก่านั้นมีแตกต่างกันอยู่ถึง ๔ แบบเป็นอย่างน้อย, คือเท่าที่พบแล้ว, แบบสาญจีนั้น มีเทวดาไม่น้อยกว่า ๖ องค์ แบกที่ตัวม้าด้วยบ่าพาออกไปในลักษณะของขบวนแห่ที่มีชาวบ้านชาวเมืองดูอยู่ตลอดทาง, ส่วนแบบภารหุต (ภาพที่ ๓๗) นั้น มีเทวดาเพียง ๔ คนนำม้าออกไปโดยไม่ได้แบกหรือชู หากแต่ที่พื้นดินนั้นโรยดอกไม้ไว้กันเสียงดังของกีบม้าที่กระทบกับพื้น และดูเป็นทำนองลักลอบหนีออกไป, สำหรับแบบอมราวดียุคแรก (ภาพที่ ๓๘) นั้น เทวดา ๔ คนพาม้าออกไปเฉย ๆ ไม่มีชูตีนม้า ไม่มีดอกไม้โรย และออกในทำนองลอบหนีเช่นเดียวกับแบบภารหุต, ส่วนแบบอมราวดียุคถัดมาคือยุคกลางค่อนมาทางปลาย (ภาพที่ ๓๙) นั้น มีเทวดาชูตีนม้าและออกมาในรูปขบวนแห่ขนาดใหญ่ มีแต่เทวดาล้วน ทำนองลอบหนีด้วยเหมือนกัน, ดังนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างน้อยเป็นข้อแรกว่า การออกบวชนั้นเป็นการออกอย่างลอบหนีหรือเป็นการออกซึ่งหน้า? และหินสลักของแบบไหนยุคไหนควรได้รับความเชื่อถือเพียงไร?.

ถ้าถือเอาพระคัมภีร์เป็นหลักจะพบว่า คัมภีร์ที่เป็นชั้นบาลีกล่าวไปในทำนองว่าออกซึ่งหน้า, คัมภีร์ชั้นอรรถกถาและปกรณ์พิเศษชั้นหลังกล่าวไปในทำนองว่า ลอบหนีออกโดยความช่วยเหลือของเทวดา.

คัมภีร์ชั้นบาลีในพระไตรปิฎกและอยู่ในรูปของพระพุทธภาษิตโดยตรงนั้น เช่นบาลีสคารวสูตร มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ตรัสแก่พราหมณ์หนุ่มชื่อสคารวะ ภารทวาชโคตรว่า "ดูก่อนภารทวาชะ! ในโลกนี้ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความคิดนี้เกิดมีแก่เราว่า ฆราวาสเป็นที่คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง, ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยดี เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้วนั้นไม่ได้, ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด, ดังนี้.

ดูก่อนภารทวาชะ! เรานั้นโดยสมัยอื่นอีกยังหนุ่มเทียว เกษายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ ยังอยู่ในปฐมวัย, เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว…"

ยังมีบาลีสูตรอื่น ๆ อีก ที่มีคำตรัสในตอนออกบวชซ้ำกันทุกตัวอักษรกับที่ตรัสข้างบนนี้ เช่นบาลีปาราสิสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน, และบาลีโพธิราชกุมารสูตร มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ตรัสแก่ราชกุมารชื่อนั้น เป็นต้น.

จากคำที่ว่า "…เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมและหนวดครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเรือน…" ดังนี้ มีใจความอันแสดงว่าออกบวชกันซึ่งหน้าก็ได้ มิได้ลอบหนีแต่ประการใด และมีหินสลักที่สาญจีอันสลักไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๔๐๐-๕๐๐ ซึ่งเป็นหินสลักที่เก่ากว่าใครทั้งหมด เป็นเครื่องสนับสนุน; และคือหินสลักที่นำมาแสดงไว้ด้วยภาพที่ ๓๕-๓๖ ในที่นี้นั่นเอง, ขอให้สังเกตดูสิ่งต่าง ๆ ในภาพนั้น.

ในภาพที่ ๓๕ ซึ่งเป็นท่อนต้นนั้น มีม้ากำลังออกจากประตูเมืองชั้นนอก มีเทวดากำลังยกม้าขึ้นแบกบนบ่าที่ตรงนั้นเอง มีคนถือฉัตรเตรียมพร้อมสำหรับคอยกั้นคนที่นั่งบนหลังม้า, ทางในเมืองหรือประตูเมืองชั้นในนั้นมีประชาชนหรือเจ้านายก็ทราบไม่ได้แน่ มองตามอยู่เป็นอันมาก จากเฉลียงเรือนหรือเชิงเทิน, มีคนตามขบวนออกมาเป็นอันมาก ซึ่งคงจะไม่ใช่เทวดาไปเสียทั้งหมด และมีคนอีกจำนวนหนึ่งกำลังใช้หม้อขนน้ำมาจากสระ มารดที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่ง ซึ่งมีใบคล้ายต้นโพธิ์ และอยู่ในคอกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ดูคล้ายกับเป็นการทำพิธีอะไรสักอย่างหนึ่ง เนื่องในการออกบวชนั้นเอง, สำหรับภาพม้าตัวที่สองนั้น มีเทวดาแบกกันเต็มที่และอยู่ในลักษณะที่พระสิทธัตถะขึ้นประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว เพราะมีฉัตรกั้นอยู่เป็นเครื่องหมาย แล้วก็พากันออกไป. ส่วนในภาพที่ ๓๖ หรือท่อนปลายนั้น คือเทวดาพาพระสิทธัตถะที่นั่งอยู่บนหลังม้า ออกไปเรื่อย ๆ จนไปถึงมุมขวามือ อันเป็นจุดหมายปลายทาง เทวดาก็วางม้าลง และเอาฉัตรไปกั้นที่รอยพระบาทสองรอย อันเป็นเครื่องหมายขององค์พระสิทธัตถะที่ไปถึงจุดที่หมายแล้ว, ส่วนม้าตัวล่างที่หันหน้ากลับนั้น เป็นม้ากลับเมืองกับนายฉันนะ ไม่มีใครแบก ไม่มีฉัตรกั้นอีกต่อไป, และมีท่าทางเศร้าอย่างที่สุด ดังที่กล่าวไว้ในเรื่องอันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว. สิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดในภาพนี้ แสดงให้เห็นไปในทำนองว่าการออกผนวชนั้น ออกกันในเวลาที่เห็น ๆ กันอยู่ และเป็นการฝืนความประสงค์ของพระมารดาบิดา ดังที่กล่าวไว้ในบาลีพุทธภาษิตนั้นแล้ว. ดังนั้นจึงขอสรุปความสั้น ๆ ว่า ภาพอภิเนษกรมณ์ที่สาญจีซึ่งเก่ากว่าใครทั้งหมดนั้น สนับสนุนข้อความแห่งปกรณ์ชั้นบาลีอยู่เต็มตัว. สำหรับมติที่ว่าออกไปอย่างลอบหนีกลางคืน ซึ่งเป็นของปกรณ์ชั้นอรรถกถาและหนังสือชั้นหลังนั้น จะวิจารณ์กันในคำอธิบายของภาพที่ถัดไป. ในที่นี้ เราควรจะศึกษาภาพในหินสลักที่สาญจีนี้กันให้ทั่วถึงกันเสียก่อน.

ในบรรดาภาพคนที่มองตามม้าอยู่บนเฉลียงเรือนนั้น มีบางคนที่ชี้มือตามมาในทำนองอาลัยอาวรณ์ก็มี, ซึ่งผินหน้าไปร้องไห้เสียทางอื่นก็มี, และมีหญิงคนหนึ่งออกมายืนเด่นอยู่ริมกำแพงชั้นนอก, หญิงคนหนึ่งกำลังก้มลงตักน้ำในสระนอกกำแพง คงจะอยู่ในจำพวกที่นำน้ำไปรดต้นไม้อันศักดิ์สิทธิ์นั้น, มีคนหรือเทวดาที่ถือแส้ปัดแมลงและแผงบังสูรย์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคงจะเป็นเครื่องแสดงเกียรติมากกว่าที่จะใช้เพื่อประโยชน์เช่นนั้น ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ทราบกันอยู่แล้ว, ต้นไม้ที่อยู่ในรั้วแบบรั้วอโศกล้อมไว้นั้นจะถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระสิทธัตถะในที่นี้ไม่ได้ เพราะไปอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว จะมามีสัญลักษณ์อยู่ที่นี่อีกก็มากเกินไป จึงได้สันนิษฐานไปในทำนองว่า เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาประจำบ้านเมือง ซึ่งอุทิศแก่เทพเจ้า หรือพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้, และจะต้องมีการรดน้ำเพื่อบูชาบวงสรวงอ้อนวอน ทุกคราวที่เหตุการณ์ขนาดใหญ่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไปในทางที่ตรงกับความประสงค์หรือขัดกันกับความประสงค์ก็ตาม. ต้นไม้ต้นนี้ มีมาลาแขวนเหมือนต้นโพธิ์ตรัสรู้ แต่ไม่มีแท่นว่างที่ตรงโคน จึงเชื่อได้ว่าไม่มีใครนั่งอยู่ที่นั่น จึงถือว่าต้นไม้นั้นเอง เป็นตัววัตถุศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ต้องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือพระสิทธัตถะเลย, ชวนให้นึกไปถึงประเพณีประจำบ้านเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่กล่าวมาแล้ว, และอาจจะเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในเมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งออกบวชด้วยซ้ำไป ซึ่งมีความหมายเป็นการอนุโมทนาบุญกุศลนั่นเอง. เมื่อพิจารณาดูถึงกิริยาอาการที่แบกม้า รู้สึกว่าเป็นการกระทำอย่างมนุษย์มากกว่าอย่างเทวดา ซึ่งจะทำอย่างง่าย ๆ สักว่าเอามือชูนิดหน่อยก็พอแล้ว เพราะมีฤทธิ์, ส่วนในภาพนี้แบกอย่างมนุษย์ชาวบ้านแบกของหนัก และต้องระวังถึงกับกอดขาม้าเอาไว้ทีเดียว เราไม่ค่อยจะเข้าใจความมุ่งหมายของศิลปินผู้กระทำในส่วนนี้, แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องยุติกันทั่วไปแล้วว่าในเรื่องออกบวชนี้ มีเทวดาเข้ามาช่วยให้เกิดความสำเร็จในการออก ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นมนุษย์พวกกษัตริย์ด้วยกัน, เลยชวนให้อยากจะตู่เอาว่าธรรมเนียมแห่นาคด้วยม้าในบ้านเรา น่าจะได้เค้าเงื่อนมาจากเรื่องราวอันนี้เอง. นอกจากคนที่แบกม้าแล้ว คนนอกนั้นก็อยู่ในท่าทางของผู้ร่วมขบวนแห่, มีคนถือหม้อน้ำไปด้วย ถ้าเป็นเรื่องของขบวนแห่, ก็เป็นเรื่องการโปรยทานอีกนั่นเอง หาใช่น้ำเพื่อนำไปดื่มกินไม่, นี้ยิ่งทำให้เห็นว่าการออกบวชนี้เป็นการออกอย่างเปิดเผยยิ่งขึ้นทุกที. พระบาทสองรอย มีลายธรรมจักรตรงกลาง นี้เป็นแบบฉบับทั่วไป กระทั่งถึงสมัยนี้เป็นเวลากว่าสองพันปีแล้ว, คนที่ไหว้พระบาทอยู่คนหนึ่งนั้น คงจะเป็นนายฉันนะทูลลากลับ ใต้รอยพระบาทลงมาทางริมขอบ มีภาพต้นไม้ซึ่งแสดงว่าเป็นป่า, ม้าที่กลับเมืองนั้น มีคนเดินนำข้างหน้า ในลักษณะจูงหรือเรียกไปซึ่งคงจะเป็นนายฉันนะอีกนั่นเอง แถมยังมีคนเดินตามหลังอีกด้วย ยิ่งแสดงว่าเป็นคนที่เข้าขบวนแห่แล้วกลับอีกนั่นเอง, ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เพิ่มน้ำหนักไปในทางที่จะทำให้เข้าใจว่า ในสมัยที่สลักหินที่สาญจีนี้ มีความรู้เรื่องการออกบวชกันในลักษณะเช่นนี้ หาใช่เป็นการหนีออกด้วยกันสองคนกับนายฉันนะไม่ เป็นเรื่องที่ควรศึกษากันใหม่ต่อไป.

ม้าแถวบน ๔ ตัวซึ่งเป็นม้าขาออกนั้น มีการอธิบายไว้ในหนังสือที่พิมพ์ออกเป็นทางการของอินเดียเอง ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเห็นเทวทูต ๔ ครั้ง ข้อนี้ไม่น่าเชื่อเลย เพราะเห็นได้ว่าเป็นการแสดงการออกไกลออกไปตามลำดับ ๆ อย่างชัดเจนอยู่แล้ว เผอิญศิลปินผู้สลักไปกะแบ่งให้เป็นภาพม้า ๔ ตัว (สำหรับขาออก) เท่านั้น การตีความ (Identify) ของภาพสลักต่าง ๆ ที่สาญจีนี้มีประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เราไม่อาจจะเห็นด้วยได้ ทั้งที่เป็นการตีความโดย ยอหน์มาแชล ร่วมกับพระเถระชาวลังกาที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว ในเมื่อมีการขุดแต่งสถูปสาญจี ซึ่งจะได้วิจารณ์กันโดยละเอียดสักคราวหนึ่งข้างหน้า, ในที่นี้เพียงแต่บอกให้ทราบไว้ว่า การอธิบายภาพต่าง ๆ นั้น เรามิได้เอาตามที่เคยมีผู้อธิบายไว้ก่อนทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะอธิบายไว้นานแล้ว เพิ่งพบข้อบกพร่องผิดพลาดทีหลัง กันอยู่เรื่อย ๆ

สรุปความสำหรับภาพที่ ๓๕-๓๖ นี้ว่า หินสลักที่สาญจีซึ่งเก่ากว่าใครนั้น แสดงภาพมหาภิเนษกรมณ์ไว้ในลักษณะที่เป็นการออกโดยเปิดเผย ขัดกันอย่างยิ่งกับเรื่องราวต่าง ๆ ดังที่เราทราบกันอยู่โดยทั่วไป, แต่กลับไปตรงกับข้อความในปกรณ์ชั้นบาลี ซึ่งแย้งกันกับเรื่องในอรรถกถาและหนังสือพุทธประวัติชั้นหลัง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว. และหินสลักแผ่นนี้ให้ความรู้ทางโบราณคดีอื่น ๆ อย่างน่าสนใจที่สุดด้วย.

พุทธประวัติ-0050-พระสิทธิัตถะเสด็จประพาสพระนคร

ภาพพระสิทธัตถะ เสด็จประพาสนคร ด้วยรถเทียมม้าไปตามท้องถนน มีประชาชนชมอยู่บนเฉลียงบ้านเรือน. มีคนกั้นฉัตรให้รถซึ่งว่างอยู่ เพราะไม่ทำรูปพระสิทธัตถะ.

---------------------------------------------------------------------------------

ภาพนี้เป็นภาพสิทธัตถะในตอนที่เป็นหนุ่มแล้ว นั่งรถประพาสนคร มีชาวเมืองมองดูขบวนแห่ที่กลางถนนนั้น อยู่บนเฉลียงหรือหน้ามุขเรือนของตน ๆ โดยท้องเรื่องแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องกล่าวถึง คงมีอยู่แต่ลักษณะเฉพาะทางโบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่.

ในรถนั้นว่างเปล่าไม่มีภาพคนนั่ง แต่มีคนคอยกั้นกลดให้นี้หมายความว่าตรงที่ว่างนั่นเอง มีพระสิทธัตถะนั่งอยู่ หากแต่ไม่ทำภาพ เพราะเป็นยุคที่ยังไม่ยอมทำภาพเหมือนของพระศาสดาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงต้องทิ้งว่างไว้ด้วยความเคารพ. (อธิบายละเอียดมีอยู่ในตอนคำนำ) ฉัตรในที่นี้มีพวงมาลัยแขวน ซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าใช้สำหรับบุคคลสูงสุด, ในขบวนนั้น นอกจากจะมีม้าลากรถโดยตรงแล้ว ยังมีม้าพิเศษอยู่ทางข้างหน้า ซึ่งยังทราบไม่ได้ว่าสำหรับอะไร ดูทำนองจะมี่ไว้สำรองเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะใช้ได้ทันท่วงที หรือว่าในบางโอกาสพระสิทธัตถะจะทรงม้านั้นก็ได้, และเป็นม้าที่ไม่ถูกผูกหางไว้เสียข้าง ๆ เหมือนม้าที่กำลังลากรถ. มีคนคนหนึ่งในขบวนนั้นหิ้วหม้อน้ำชนิดมีพวยไปด้วยใบหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าขบวนนี้มีการให้ทานไปตลอดทาง, มิใช่กาใส่น้ำดื่ม. เครื่องแต่งตัวของคนทั้งขบวนนั้นแสดงว่าไม่มีคนชั้นไพร่ปนอยู่เลย. รถกำลังออกจากประตูเมืองซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกันกับในภาพที่ ๓๐, มีกำแพง ปราการ เชิงเทินที่เห็นได้ชัด สำหรับการศึกษาเปรียบเทียบกับยุคอื่น ๆ.

ทางฝ่ายคนดูขบวนนั้น เป็นผู้หญิงเสียทั้งหมด มีผู้ชายอยู่คนเดียว, ดูจากเครื่องแต่งตัว แสดงว่าเป็นคนชั้นสูง ดังนั้นอาจจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา หากแต่เป็นพระราชวงศ์นั่นเองก็ได้. ควรสังเกตเครื่องประดับกาย บ้านเรือน หลังคา หน้ามุขและเฉลียงเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้วในภาพที่ ๓๐; กำไลมือกำไลเท้าที่มากเกินไปก็เป็นสิ่งที่ควรสังเกต.

การประกอบภาพโดยให้ขบวนอยู่ซีกล่าง คนดูอยู่ซีกบนเช่นนี้นับว่าเป็นการประกอบภาพที่ง่ายที่สุด แต่ก็ได้ผลดี. ภาพนี้ประกอบด้วยเส้นตรง และทรวดทรงที่แข็งทื่อจนสะดุดตา ซึ่งใคร ๆ ก็ทราบได้เองทันทีว่า ไม่ใช่แบบอมราวดี เพราะเป็นแบบสาญจีนั่นเอง, นี้เป็นสิ่งที่ควรหัดสังเกตไว้ทุกภาพ ไม่เท่าไรก็จะดูออกเองโดยไม่ต้องมีใครบอก. ในภาพนี้มีอะไรหลายอย่าง ที่แสดงความสูงทางวัฒนธรรมหรืออารยธรรมของอินเดียสมัยนั้น ซึ่งเป็นเวลาตั้งสองพันปีเศษมาแล้ว.

การประพาสนครของพระสิทธัตถะในภาพนี้ จะเป็นคราวเดียวกับที่พบเทวทูตทั้งสี่หรือไม่ ไม่อาจจะบอกได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องแสดง หากแต่ควรจะถือว่า ไม่ว่าครั้งไหนจะต้องมีลักษณะเช่นในภาพนี้เป็นธรรมดา

พุทธประวัติ-0040-ภาพการทำนายฝัน


ทางมุมบนขวามือผู้ดู คือ ภาพพระมารดาบรรทมฝัน,
มุมบนซ้าย ภาพการทำนายฝัน พราหมณ์ชูสองนิ้วแสดงคติเป็น 2 อย่างคือถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอก ถ้าครองราชย์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์,
มุมขวาล่าง ภาพการประสูติที่ลุมพินี.
มุมซ้ายล่าง การพาพระกุมารไปให้ฤษีดู รอยพระบาทบนแผ่นผ้าคือ สัญลักษณ์แทนองค์พระกุมาร.

-------------------------------------------------------------------------------

ภาพนี้เป็นภาพศิลปะแบบอมราวดียุคกลางหรือค่อนมาข้างปลาย ต่อกันกับยุคมีพระพุทธรูป, จึงมีทรวดทรงอ่อนช้อยสะดุดตาทันที หลังจากที่เราดูกันมาแต่แบบสาญจีและภารหุต, ดังนั้น ขอให้ตั้งข้อสังเกตอันนี้ไว้ตลอดไป เพื่อความง่ายดายในการศึกษา.

ภาพนี้แสดงไว้ในลักษณะที่เรียก Epitome คือรวบเอาภาพเรื่องที่เกี่ยวข้องกันหลายภาพมาบรรจุไว้ในแผ่นเดียวกัน ซึ่งในภาพนี้ มีอยู่ ๔ ฉาก หรือ ๔ ตอนด้วยกัน, คือ มุมบนขวาพระมารดาบรรทมฝันมีช้างมาเข้าอุทรดังที่กล่าวแล้วในภาพที่ ๒๗-๒๘, มุมบนซ้ายเป็นภาพการทำนายฝันนั้น มุมล่างขวาเป็นภาพการยืนประสูติ, และมุมล่างซ้ายเป็นการนำพระกุมารประสูติใหม่ไปให้ฤษี หรือยักษ์ประจำเมืองดู. แผ่นหินมีขอบริมขรุขระและมีรอยร้าวที่มุมบนขวาเป็นทางยาวผ่าภาพคนนอนลงมา, ในการปั้นจำลอง ได้ทำให้เหมือนของเดิมทุกอย่าง สุดที่จะทำได้จึงเป็นรอยเกะกะอยู่. แม้ในภาพอื่น ๆ ข้างหน้า ที่มีรอยหักขรุขระบางส่วน ก็พึงทราบตามนี้.

ในภาพช่องมุมบนทางขวา ซึ่งเป็นภาพพระมารดาบรรทมฝันนั้น มีผู้ชายสี่คน หญิงหนึ่งคน. ที่เป็นชายคงจะหมายถึงท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ทิศ ซึ่งเป็นผู้มายกเอาพระนางพร้อมทั้งพระแท่นไปยังสุวรรณคีรี ผู้หญิงคงจะเป็นชายาหรือราชินีของท้าวโลกบาลเหล่านั้น ซึ่งทำหน้าที่ปรนนิบัติ, พระนางกำลังบรรทมและทรงพระสุบิน ในภาพนี้ไม่มีภาพช้างปรากฏ คงจะปล่อยไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่ทราบได้เอง เพราะเป็นเรื่องที่แพร่หลายที่สุดอยู่แล้วในหินสลักแผ่นอื่น ๆ แห่งยุคนี้, หรือมิฉะนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าเรื่องภาพช้างในพระสุบินนั้นมิใช่เรื่องสำคัญ.

สำหรับภาพมุมบนทางซ้ายซึ่งเป็นภาพการทำนายพระสุบินนั้น มีภาพพระราชาและพระมารดา, ภาพผู้ทำนายที่กำลังยกนิ้วมือชูขึ้นด้วยมือขวา ๔ คน, และหญิงผู้รับใช้อยู่ทางเบื้องหลังของพระราชาอีก ๒ คน. นิ้วมือที่ยกขึ้นนั้น ในภาพจะเห็นเป็นยกสองนิ้วด้วยกันทุกคน แต่เนื่องจากไม่ชัดเจนอาจจะมีสักคนหนึ่งที่ยกเพียงนิ้วเดียว ดังที่เราทราบกันอยู่แล้วในเรื่องพุทธประวัติ, ซึ่งหมายถึงโกณฑัญญะพราหมณ์หนุ่ม ซึ่งทำนายผิดกับเขาทั้งหมด คือไม่ทำนายว่าคติเป็นสอง ได้แก่ความเป็นจักรพรรดิหรือความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, แต่ทำนายว่าจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแน่นอน. ถ้าผิดจากที่กล่าวนี้ เรื่องก็จะเป็นว่าในการทำนายนั้น ไม่มีการระบุว่าจะเป็นอะไรแน่ หากแต่ต้องเป็นในสองอย่างนั้นเท่านั้น, ส่วนการที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นั้น เป็นเพียงความคิดของโกณฑัญญะพราหมณ์ ซึ่งเก็บไว้ในใจตนแต่ผู้เดียว, จึงไม่จำเป็นต้องทำภาพคนคนหนึ่งที่ยกนิ้วเพียงนิ้วเดียวเป็นพิเศษ, และเป็นเรื่องที่เพิ่งเพิ่มเติมขึ้นทีหลัง.

ภาพมุมล่างขวา เป็นภาพสำคัญของเรื่อง คือภาพการประสูติซึ่งจะต้องสนใจสังเกตเป็นพิเศษ. ในภาพนี้มีพระมารดาผู้ประสูติยืนเหนี่ยวกิ่งไม้, มีเทวดาผู้ชาย ๔ ตนชูผ้ายาวพับซ้อนกันเป็นกลีบ ๆ จนหนา, บนผ้านั้นมีรอยเท้าเล็ก ๆ ๒ รอย, มีแท่นคล้ายฐานพระพุทธรูปวางอยู่ที่ศูนย์กลางของภาพทางริมล่าง และมีหญิงคนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างพระมารดา ในท่าทางแห่งการรับใช้ และดูเหมือนจะมีแส้ปัดแมลงอยู่ในมือด้วย, การที่มีรอยเท้า ๒ รอยอยู่บนผ้านั้น เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า หมายถึงมีพระกุมารประสูติใหม่อยู่บนนั้น, ทำเพียงรอยเท้า ไม่ทำองค์จริง เพราะอยู่ในสมัยก่อนมีพระพุทธรูป ไม่ยอมทำรูปพระศาสดาอย่างมนุษย์ ดังที่ได้วิจารณ์ไว้อย่างละเอียดแล้วในตอนคำนำต้นเล่ม. เทวดาทั้งสี่นั้น เห็นได้ว่าจะต้องเป็นท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่อีกนั่นเอง. ซึ่งเป็นคติของพวกช่างหรืออาจารย์กลุ่มอมราวดี ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องตรงกันเสมอไปกับกลุ่มอื่นในข้อปลีกย่อยเช่นนี้. เช่นในประเทศไทยเรา ซึ่งรับเรื่องราวมาจากคัมภีร์หลายทิศทาง ดังจะเห็นได้จากข้อความในหนังสือปฐมสมโพธิ ที่มีกล่าวถึงเรื่องราวตอนนี้. ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่งทางขวามือนั้นก็เหมือนกัน มีทางที่จะถามว่า เป็นเทวดาหรือมนุษย์, ถ้าเป็นชายาของท้าวโลกบาล มาเป็นเจ้ากี้เจ้าการเกี่ยวกับการประสูติโดยตรง ก็เข้าเรื่องกับเรื่องในภาพมุมบนขวา ที่มีชายาท้าวโลกบาลอยู่คนหนึ่งนั่นเอง. ถ้าเป็นดังนี้จริง ก็แปลว่ามนุษย์ไม่ถูกสลักบันทึกไว้ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับการประสูติเลย ซึ่งเมื่อกล่าวตามความคิดของพวกช่างและอาจารย์กลุ่มอมราวดีแล้ว ก็มีทางที่จะเป็นไปได้เช่นนั้น. ส่วนฐานแท่นสำหรับเหยียบที่อยู่ตรงหน้าเทวดาทั้งสี่นั้น ไม่มีทางที่จะสันนิษฐานเป็นอย่างอื่น นอกจากว่าเป็นที่ซึ่งพระกุมารยืนแล้วเปล่งอาสภิวาจาประกาศความเป็นบุคคลสูงสุดของโลกนั่นเอง. เรื่องมีว่าพอเทวดารับแล้ว พระกุมารก็เลื่อนลงมาจากที่รับลงยังพื้นดินก้าวไป ๗ ก้าวแล้วประกาศว่า เสฏโฐ หมสมิ โลกสส เป็นต้น ซึ่งมีใจความว่า เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก เราเป็นพี่กว่าใครหมดในโลก, แล้วจึงถูกรับไปจัดการในฐานะเด็กคลอดใหม่. ดังนั้น บนฐานรองรับนั้น จักต้องมีรอยเท้าอยู่คู่หนึ่งเช่นเดียวกับที่อยู่บนผ้าที่ใช้รับ แม้ว่าบัดนี้จะไม่สังเกตเห็นเพราะลบเลือนไปแล้ว. สำหรับสิ่งที่ใช้รองรับพระกุมารนั้น เราเคยอ่านหรือฟังกันในเมืองไทยว่ารับด้วยข่ายทอง, แต่ในภาพนี้ ดูเป็นผ้าพับซ้อนกันหนา ๆ ทำนองเบาะนวม ดังนั้นควรศึกษากันต่อไปว่าผ้าชนิดนี้มีทางที่จะเรียกว่า ข่าย (หรือ ชาละ ในภาษาบาลี) ได้อย่างไรบ้าง.

ทีนี้เหลืออยู่แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ องค์พระมารดาที่ยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ทำการประสูติ ซึ่งจะได้วิจารณ์กันต่อไปเป็นกรณีพิเศษ.

ควรจะย้อนไประลึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า หินสลักแบบสาญจีและภารหุตนั้น อยู่ในยุคเก่าเกินกว่าที่จะสลักภาพการประสูติในลักษณะเช่นภาพแบบสมัยอมราวดีเช่นนี้ได้, จึงทำเป็นเพียงสัญลักษณ์เช่นดอกบัวบาน หรือกอบัวบาน ดังที่แสดงมาแล้วในภาพข้างต้น ๆ, หรืออย่างมากที่แบบสาญจีจะแสดงได้ก็เพียงภาพช้างรดน้ำลงบนสตรีที่นั่งหรือยืนอยู่บนกอบัว ดังในภาพที่ ๒๕-๒๖ เท่านั้น, ดังนั้นเราจึงถือว่า ภาพแบบอมราวดีสมัยค่อนมาทางปลาย เช่นภาพที่ ๓๑ นี้ นับว่าเป็นภาพโดยสมบูรณ์ มิใช่สัญลักษณ์ หรือครึ่งภาพครึ่งสัญลักษณ์อีกต่อไป, ในกรณีที่เกี่ยวกับการประสูติ. และถ้าเป็นภาพที่สลักในยุคที่ถัดมาจากยุคนี้ซึ่งจะเป็นแบบคันธาระ, มถุรา, สารนาถ, หรือเบ็งคอลก็ตาม จะทำให้เห็นตัวพระกุมารชัดเจนเป็นทารก ที่กำลังโผล่ออกจากช่องข้างสะเอวก็มี ที่กำลังยืนประกาศอาสภิวาจาอยู่ก็มี. แม้ว่าการสลักภาพที่อมราวดีจะยืดออกมาถึงสมัยที่พ้องกับยุคคันธาระแล้ว ซึ่งเรียกว่า อมราวดียุคหลังสุด ก็ไม่เคยพบภาพที่สลักรูปพระกุมารออกจากช่องสะเอวเหมือนแบบคันธาระเป็นต้นเลย แม้ว่าจะได้สลักภาพพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เต็มไปหมดแล้วก็ตาม, ดังนั้นน่าจะถือว่าศิลปกรรมแบบอมราวดี ไม่ยอมสลักภาพการประสูติในลักษณะที่เป็นตัวเด็กจริง ๆ เลยก็ได้, เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากทีเดียว.

ในปกรณ์ชั้นบาลี มีกล่าวแต่เพียงว่าพระมารดายืนประสูติ มิได้กล่าวถึงการเกาะเหนี่ยวกิ่งสาละเลย, เพิ่งจะมีในหนังสือชั้นหลัง, ซึ่งอยากจะสันนิษฐานว่าหนังสือชั้นหลังเหล่านี้เพิ่งจะเขียนขึ้นตามหินสลักนี้มากกว่า ซึ่งจะได้กล่าวในตอนถัดไป. ในตอนนี้จะวิจารณ์เฉพาะการยืนเหนี่ยวกิ่งไม้กันเสียก่อน. ปัญหาอาจจะเกิดขึ้นว่า เหนี่ยวกิ่งไม้สาละทำไม, หรือมีความหมายอย่างไรที่ซ่อนอยู่.

เกี่ยวกับข้อนี้ อยากจะให้นึกกันไปถึงคำว่า สาลภัญชิกา ซึ่งหมายถึงชื่อแห่งกีฬาสนุกสนานชนิดหนึ่ง ซึ่งเล่นกันในฤดูดอกสาละบาน โดยพวกผู้หญิงในอุทยานที่มีต้นสาละ ด้วยการหักดอกขว้างปากันหรืออะไรทำนองนั้น อันถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุขและสนุกสนานอย่างยิ่งฤดูหนึ่งและมีมาแล้วแต่ก่อนพุทธกาลนานไกล. ภาพสลักเป็นภาพผู้หญิงยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ทำนองนี้แล้ว เรียกว่า สาลภัญชิกา กันทั้งหมด ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการประสูตินี้หรือไม่ และได้กลายเป็นแบบลวดลายสำหรับการประดับประดาแบบหนึ่งไปในที่สุด ซึ่งมีอยู่แม้กระทั่งในหินสลักที่ภารหุต, และสาญจีที่ซุ้มประตูที่หัวซ้ายขวาและอาคิเตรฟบางอัน ซึ่งใครไปถึงก็จะสะดุดตาทันที เพราะเห็นแต่ไกล และอยู่ในลักษณะที่เรียกในภาษาแสลงว่าภาพโป๊. ถึงแม้ภาษาทางโบราณคดี ก็เรียกท่ายืนประสูติของพระพุทธมารดาในที่นี้ว่าท่าสาลภัญชิกาด้วยเหมือนกัน, ดังนั้นจะต้องวินิจฉัยกันดูว่า การยืนเหนี่ยวกิ่งสาละของพระพุทธมารดานี้ มีความหมายอย่างไรกันแน่.

ข้อแรกที่ใครจะนึกถึงก่อน ก็คือนึกว่าเป็นการบังเอิญหรือจำเป็น; ที่ว่าบังเอิญนั้น หมายความว่า เมื่อเสด็จแวะข้างทางเข้าไปในอุทยาน กำลังเหนี่ยวเก็บดอกสาละอยู่ ก็บังเอิญเจ็บครรภ์และคลอดพอดี, ที่ว่าจำเป็นนั้นใจความก็คล้าย ๆ กัน คือเมื่อต้องยืนประสูติ ก็จะต้องเหนี่ยวอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง เพื่อถนัดและปลอดภัย, แต่ทั้งสองความคิดนี้เป็นสิ่งที่น่าขันอย่างยิ่ง เพราะว่าอะไร ๆ ท่านก็เอาเทวดาเข้ามาช่วยกันอย่างเต็มที่แล้ว ยังจะต้องมีการบังเอิญและจำเป็นเช่นนี้อีกหรือ.

แง่ที่ควรตีความหมายนั้น ยังมีไกลไปกว่านั้น คือพวกช่างต้องการจะสลักเพื่อบันทึกเรื่องราวไปในหินสลักว่า มีการประสูติในขณะที่กำลังเล่นกีฬาสาลภัญชิกากันอย่างเป็นสุขที่สุด หรืออีกทางหนึ่งก็ว่า การประสูตินั้น ทำความพอพระทัยให้แก่พระนาง เหมือนความพอใจของหญิงที่ได้เล่นสาลภัญชิกานั่นเอง, ดังนั้นจึงสลักภาพฉากนี้เป็นภาพหญิงยืนในท่าสาลภัญชิกาเสียทีเดียว, ไม่ได้ยืนกระหย่งขาประสูติ เหมือนสัตว์ที่ยืนคลอดลูกทั่ว ๆ ไปจะต้องทำ. ท่าสาลภัญชิกาจึงกลายเป็นสถาบันสำหรับความหมายของการประสูติไปในที่สุด และทำตามอย่างกันไปในทุกยุคและทุกถิ่น. ครั้นตกมาถึงยุคที่ร้อยกรองเรื่องพุทธประวัติอย่างไพเราะขึ้นเป็นคัมภีร์เป็นเล่ม ๆ โดยเฉพาะในตอนหลังก็เพิ่มข้อปลีกย่อยต่าง ๆ ลงไป ตามแต่ที่จะรวบรวมมาได้ และที่มากที่สุดก็คือได้มาจากภาพในหินสลักนั่นเอง และก็ตรงกันกับที่เล่าสืบ ๆ กันมาด้วยปากมาแต่ก่อน เพราะมีที่มาอย่างเดียวกับหินสลัก หรือจากหินสลักโดยตรงอีกนั่นเอง, เพราะหินสลักนั้นได้สลักกันเสร็จแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๓๐๐-๔๐๐ เป็นต้นมา และมีวิวัฒนาการมาตามทางหรือตามแนวของตนเองเรื่อยมา จนกระทั่งถึงยุคที่เขียนคัมภีร์เมื่อ พ.ศ. ๑๐๐๐ เศษมาแล้ว ดังนั้นคัมภีร์เหล่านั้นจึงเขียนไปตามท้องเรื่องในหินสลักและที่เล่าสืบ ๆ กันมาโดยปากมนุษย์เท่านั้นเอง. เราต้องไม่ลืมว่า ธรรมเนียมในอินเดียโบราณนั้น แม้ในยุคที่มีการใช้หนังสือแล้ว ก็ยังนิยมการท่องคัมภีร์ต่าง ๆ ไว้โดยมุขปาฐะ ไม่นิยมเขียนลงไปในสิ่งใดเพราะเป็นการทำลายคุณค่า หรือความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วยยังไม่มีเครื่องเขียนที่สะดวกเช่นกระดาษเป็นต้น แม้กระทั่งใบไม้ประเภทใบลานหรือใบตาล ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากในอินเดียภาคนั้น คือภาคกลางและภาคเหนือ จึงมีใช้การจารึกเพียงเล็กน้อย ลงในแผ่นหินที่สลักภาพ หรือแผ่นอิฐดินเผาบ้างในกรณีที่มิใช่เป็นการเขียนคัมภีร์ หรือแม้แต่สูตรสักสูตรหนึ่ง ดังนั้นเมื่อจะเขียนเรื่องราวอันกล่าวถึงอิริยาบถในการประสูติ ผู้เขียนหรือผู้ร้อยกรองก็ไม่มีทางที่จะทำอย่างอื่นได้ นอกจากบรรยายไปตามหินสลัก หรือตาม "ปากชาวบ้าน" ซึ่งเก็บมาจากหินสลักอีกนั่นเอง เพราะในบาลีเดิมมีแต่กล่าวอย่างสั้นที่สุดว่า ยืนประสูติเท่านั้น จึงจำต้องเติมเรื่องที่ว่ายืนเหนี่ยวกิ่งสาละลงไป ตามภาพหินสลัก โดยที่หาทราบไม่ว่ามีความมุ่งหมายต่างกัน คือศิลปินผู้สลักภาพมุ่งหมายไปในทางว่า ประสูติในขณะที่ทรงแวะเข้าไปเล่นหรือไปชมกีฬาสาลภัญชิกาในสวนลุมพินี ข้างหนทางที่จะเสด็จไปกรุงเทวทหะ, ส่วนผู้เขียนคัมภีร์นั้น มุ่งให้เป็นการกระทำลงไปตรง ๆ เหมือนกับการบันทึกเหตุการณ์ว่า ทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละแล้วทำการประสูติ ซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติและเหตุผลมากเกินไป ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการณ์ของวิธีการของศิลปินนั่นเอง เรื่องทำนองปุคคลาธิษฐานต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย ในทำนองของขลัง ศักดิ์สิทธิ์ และอัจฉริยะเป็นสถาบันขึ้นมาใหม่ ยากที่ใครจะวิจารณ์ได้ โดยไม่ต้องถูกหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิเพราะเหตุนั้น.

สำหรับเรื่องการคลอดทางสะเอวนี้ก็เหมือนกัน มีแง่ที่ต้องทำการวิจารณ์ในทำนองที่กล่าวมาแล้ว. จงสังเกตดูในภาพแบบอมราวดีภาพนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระหัตถ์ขวาของพระมารดาจับอยู่ที่ตรงสะเอว ตรงที่จะเป็นช่องประสูตินั่นเอง, แต่ถ้าเป็นภาพในยุคต่อมา คือยุคแบบคันธาระ, นาลันทา และสารนาถเป็นต้น พระหัตถ์ขวานั้นจะไปจับอยู่ที่อื่น เช่นไปจับอยู่ที่กิ่งไม้ข้างบนที่น้อมมาทางขวามืออีกเป็นต้น เพราะที่ตรงนั้นจะมีตัวพระกุมารโผล่ออกมาครึ่งท่อนอย่างแบบคันธาระ หรือเต็มทั้งองค์อย่างแบบนาลันทา เป็นต้น. ข้อนี้ต้องนึกดูว่า แบบอมราวดีนั้นทำก่อน ถ้ามีความรู้เรื่องการคลอดทางสะเอวอยู่ที่นั่นในยุคนั้น ก็คงจะไม่ทำพระหัตถ์ไปจับเสียที่สะเอว อันจะเป็นช่องประสูตินั้นเป็นแน่. ถ้าใครจะถือว่าทรงเอาพระหัตถ์ไปกุมแผลช่องประสูติเพราะความเจ็บปวดก็จะกลายเป็นเรื่องตลกสิ้นดี, เพราะว่าท่าทางอย่างนั้น เป็นท่าทางมาตรฐาน (typical & Classical) ของท่าสาลภัญชิกานั่นเอง. ในพระบาลีมีกล่าวแต่ว่า ยืนประสูติเท่านั้น ไม่มีกล่าวถึงการประสูติทางช่องที่สะเอว แต่ไปกล่าวถึงเรื่องที่มีความสำคัญน้อยกว่าการคลอดทางช่องสะเอวอีกหลายเรื่อง เช่น ว่าไม่มีการเปื้อนด้วยมลทินครรภ์แม้แต่น้อย เป็นต้นไปเสีย จึงทำให้เรามีเหตุผลที่จะเชื่อว่า ในสมัยที่สลักภาพแผ่นนี้ที่อมราวดีนั้น จะยังไม่เกิดลัทธิที่ถือว่าคลอดทางสะเอวกันก็ได้, และแม้ในภาพสลักที่อมราวดียุคต่อมาจนกระทั่งสิ้นยุค ก็ไม่มีภาพที่แสดงถึงการคลอดทางสะเอวเลย, ซึ่งทำให้คิดว่า พวกอมราวดีไม่มีความรู้เรื่องการคลอดทางสะเอวเอาเสียทีเดียว เพราะเป็นเรื่องที่ค่อย ๆ วิวัฒนาการขึ้นในยุคหลัง ด้วยเหตุผลที่เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พระศาสดาโดยทุกวิถีทางนั่นเอง, ข้อนี้ทราบได้ง่ายนิดเดียวตรงที่ว่า ทางฝ่ายศาสนาอื่นเขา คนสำคัญล้วนแต่ไม่ได้คลอดทางช่องคลอดด้วยกันทั้งนั้น คือคลอดทางรักแร้บ้าง แม้ทางขาแข้ง ก็ยังมี, และมีบางองค์ถึงกับร้องออกมาว่าไม่ยอมออกทางช่องที่คับแคบและสกปรกเช่นที่เขาทำกัน ขอออกทางขาเป็นต้น. เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พวกพุทธบริษัทในยุค พ.ศ. ๖๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ก็ยอมไม่ได้ ในการที่จะให้พระพุทธองค์มีการประสูติอย่างสามัญชน จึงต้องเสด็จออกมาทางสะเอวนั่นเอง.

ถ้าดูกันในแง่ศิลปะแล้ว จะสังเกตเห็นทันทีว่า แบบอมราวดี, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคกลางนั้น, มีความอ่อนช้อยสละสลวย (slenderness) กว่าแบบภารหุตและสาญจีอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย, แม้ไทยเราก็ได้รับวัฒนธรรมทางนี้จากสายอมราวดีนี้, ดังที่ได้วิจารณ์ไว้แล้วในคำบรรยายภาพที่ ๒๑, เพื่อการศึกษาของศิลปินไทย. ขอให้เปรียบเทียบภาพพระมารดาบรรทมในภาพนี้ กับภาพบรรทมอย่างเดียวกันของแบบสาญจีและภารหุต ในภาพที่ ๒๗(ตอนล่าง) และภาพที่ ๒๘ ตามลำดับ, ดูด้วยตนเอง แล้วสังเกตเอาเองว่าแบบไหนมีประพิมประพายอย่างไทยมากกว่ากัน.

ขอสรุปความเฉพาะภาพการประสูตินี้อีกครั้งหนึ่งว่า อย่าเอาภาพท่าสาลภัญชิกาไปปนกับ "ท่าการประสูติ" เพราะเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว, มิฉะนั้นแล้ว ภาพยักษีในท่าสาลภัญชิกา ที่มีอยู่มากในหินสลักแบบภารหุตและสาญจี ก็จะกลายเป็นภาพพระมารดาประสูติพระกุมารไปทั้งหมด และจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับพุทธบริษัทอย่างยิ่ง.

ทีนี้ก็มาถึงภาพทางมุมซ้ายล่าง ซึ่งเป็นภาพการนำพระกุมารไปให้ใครคนหนึ่งดู.

เราเคยรู้กันทั่วไปในหมู่พวกพุทธบริษัทชาวไทยเราว่า เมื่อพระกุมารประสูติแล้วใหม่ ๆ มีการแสดงพระกุมารนั้นแก่พระฤษีชื่อ อสิตดาบส หรือกาฬเทวิล เมื่อเห็นภาพในทำนองภาพนี้ ก็เข้าใจว่าเป็นภาพแสดงพระกุมารแก่พระฤษีนั้นอีกเป็นธรรมดา. แต่คัมภีร์ทางฝ่ายอื่นนั้นมีแปลกออกไปว่า มีการนำพระกุมารไปนมัสการยักษ์ประจำเมือง (tutilary yaksha) ทำนองพระเสื้อเมืองทรงเมืองแห่งสมัยนี้ แล้วยักษ์นั้นแสดงตัวโดยโผล่ขึ้นมาจากธรณี แล้วทำการไหว้พระกุมารเสียเอง แทนที่จะให้พระกุมารไหว้, ดังนั้นหินสลักอมราวดีแผ่นนี้น่าจะเป็นการแสดงภาพที่ว่านั้น ไม่ใช่การแสดงแก่อสิตดาบส. ส่วนหินสลักแบบนาคารชุนโกณฑะนั้น ให้ความกระจ่างมากออกไปอีก คือมีภาพทั้งสองฉากนั้นไว้ในหินแท่งเดียวกัน และเนื่องกันทีเดียว, ทางส่วนขวาเป็นภาพการแสดงพระกุมารแก่ฤษี, ส่วนซ้ายเป็นการแสดงแก่เทวดาหรือยักษ์ประจำเมืองดังที่กล่าวแล้ว, อยู่ในลักษณะที่โผล่ขึ้นมาจากดินอย่างเดียวกันด้วย; ดังนั้นจึงควรถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับพุทธบริษัทไทยเราว่า นอกจากจะมีการแสดงพระกุมารแก่พระฤษีแล้ว ยังมีที่แสดงแก่ยักษ์ หรือเทวดาอันศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองอีกด้วย, ดังในภาพนี้.

แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องทราบด้วยว่า ในปกรณ์ชั้นบาลีของฝ่ายเถรวาทเรา ก็ไม่มีกล่าวถึงการแสดงพระกุมารแก่ฤษีนั้นเลย คงมีแต่ในชั้นอรรถกถา หรือปกรณ์ชั้นหลัง ๆ ที่แต่งเรื่องพุทธประวัติขึ้นเป็นเรื่องโดยสมบูรณ์ โดยรวบรวมมาจากเรื่องในอรรถกถานั้น ๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ ส่วนเรื่องการแสดงพระกุมารแก่ยักษ์หรือเทวดาประจำเมืองนั้น ไม่มีเลยแม้ในหนังสือชั้นหลัง เราได้ฟังเรื่องนี้บ้าง ก็มาจากต้นตอที่เป็นฝ่ายมหายาน, ซึ่งเป็นเค้าเงื่อนที่ทำให้เราเชื่อว่า พุทธศาสนาที่อมราวดีหรืออินเดียใต้นั้น มีอย่างมหายานเจืออยู่อย่างน้อยก็เฉพาะถิ่นหรือเฉพาะกาล เป็นแน่นอน.

สำหรับเรื่องการแสดงพระกุมารแก่ใครแน่นี้ ถ้าปล่อยให้สันนิษฐานอย่างอิสระหรือตามใจชอบแล้ว อยากจะสันนิษฐานว่าครั้งแรกที่สุดนั้น คงจะมีแต่เรื่องการแสดงแก่พระฤษีอสิตดาบสเท่านั้น ครั้นต่อมาเมื่อเรื่องนี้ตกมาถึงหมู่คนที่ไม่นิยมฤษี แต่นิยมเทวดา กลัวว่าเรื่องจะไม่ขลังและศักดิ์สิทธิ์พอ จึงแปลงเรื่องฤษีให้ไปเป็นเรื่องของเทวดาตามที่ตนชอบ จึงมีการสลักภาพเช่นนี้ในสมัยอมราวดีเป็นต้น ตามคติที่กระเดียดไปทางมหายาน, ครั้นต่อมาอีกถึงสมัยนาคารชุนโกณฑะ มีการรับเสียเลยทั้งสองมติ เพื่อให้ขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นหรือสุดที่จะทำได้ ด้วยความหวังดีต่อคนทั่วไป หรือด้วยความเคารพต่อพระศาสดาจนไม่รู้ว่าจะเคารพอย่างไรกัน. สำหรับเรื่องที่แท้จริงนั้น มีแต่การแสดงแก่ฤษี หรือนักปราชญ์ของราชสกุลนั้น เป็นการเหมาะสมแล้ว จะต้องพาไปไหว้เทวดาชนิดที่อยู่ตามพื้นดินกันทำไมอีกเล่า ในเมื่อเทวดาชั้นสูงสุดบนฟ้าบนสวรรค์ ก็ยอมแพ้จนถึงกับมารับใช้ในการประสูติเป็นต้น อย่างกะเป็นข้าทาสบริวารอยู่แล้ว, มีแต่จะกลายเป็นการตลกสิ้นดี ให้เขาหัวเราะเยาะพุทธบริษัทเอง เพราะความเขลาของตัว, นับว่าเป็นเงื่อนหรือปมที่เราจะต้องปอกเปลือกหาเนื้อในกันอยู่ร่ำไป, มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการทำให้เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ (historical) กลายเป็นเรื่องนิยาย (legendary & mythological) มากขึ้นทุกที และห่อหุ้มพุทธศาสนาเองจนมอมแมมไม่เป็นที่สนใจแก่นักศึกษายิ่งขึ้น. หินสลักแห่งยุคต่าง ๆ ย่อมช่วยได้มากในการศึกษาข้อความทั้งในบาลีและอรรถกถา ตลอดถึงปกรณ์พิเศษอันเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ นับว่าเป็นสิ่งควรสนใจอย่างยิ่ง.

ในภาพมุมซ้ายล่างนี้ มียักษ์หรือเทพารักษ์โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่โคนต้นไม้ที่มีลักษณะเหมือนต้นไทร ในท่าพนมมือไหว้ มีหญิงชูผ้าในลักษณะที่เป็นเบาะ และมีรอยเท้าสองรอยอยู่ในเบาะนั้น นำเข้าไปหายักษ์นั้น, มีฉัตรกั้นให้แก่รอยเท้านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารอยเท้านั้นเล็งถึงพระกุมารประสูติใหม่นั่นเอง, คนถือฉัตรเป็นผู้หญิง, และยังมีคนอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงถือสิ่งของอยู่ในมือ ซึ่งคงจะเป็นของสักการะแก่ยักษ์นั้นเอง สังเกตดูจากภาพนี้พอจะเห็นได้ว่า ตามปรกติยักษ์นั้นไม่ได้แสดงตัว คงจะมีแต่แท่นที่โคนต้นไม้เท่านั้น และก็ได้แสดงตัวในขณะที่มีผู้นำพระกุมารเข้าไปถวายความเคารพ ซึ่งนับว่าเป็นการกลับให้เกียรติแก่พระกุมารอีกนั่นเอง สมกับท่าที่ประนมมืออยู่แล้ว และสมกับข้อความตามที่กล่าวไว้ในฝ่ายอื่นจากฝ่ายเถรวาท.

ในแง่ของโบราณคดี มีสิ่งที่ควรสังเกตอยู่หลายอย่าง เช่น หญิงชั้นเจ้านายใส่กำไลเท้าซ้อนกันหลายวง หญิงธรรมดาเพียงสองวง, ที่รองเหยียบแม้เวลาที่นั่งอยู่ ทั้งของพระราชาและพระราชินี, เบาะรองนั่งของโหราจารย์และคนอื่น ๆ เครื่องแต่งตัวทั้งของเทวดาและมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า "ฉัตร" อีกตามเคย. และพึงทราบว่า คำว่ายักษ์นั้นมิได้หมายถึงยักษ์ที่มีหน้าตาท่าทางดุร้ายหรือกินคน แต่หมายถึงเทพารักษ์นั่นเอง. ข้อนี้สมกับเรื่องที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บาลี แม้ในพระไตรปิฎกเอง ที่ใช้คำว่ายักษ์กับเทวดาหรือเทวบุตรที่มีเกียรติ, แม้พระพุทธองค์ก็เคยตรัสคำนี้เรียกเทวดาที่มาทูลถามปัญหาเป็นต้น, และเมื่อพวกเทวดาสนทนากันเอง ก็เคยใช้คำว่ายักษ์แก่กันและกันเป็นต้น เป็นคำที่มีเกียรติสูง เพราะคำคำนี้แปลว่าผู้ที่คนเขาพากันบูชา. นี้เป็นโบราณคดีทางภาษา ซึ่งควรจะสนใจกันเหมืนกัน.

รวมความแล้วภาพทั้ง ๔ ส่วนนี้ รวมกันเป็นภาพ Epitome ของการประสูติ หรือภาพการประสูตินั่นเอง ตามคติของพุทธบริษัทในอินเดียใต้ในสมัย พ.ศ. ๔๐๐-๕๐๐ สำหรับเทียบเคียงกับสมัยอื่น สำหรับหาความรู้อันกว้างขวางต่อไป.



(จากหินสลัก แบบอมราวดี สมัยอันธระ พ.ศ.๔๐๐-๗๐๐