

สรุปย่อ
"ผู้ใดเห็นพระธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นเห็นพระธรรม"
ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าได้ผู้นั้นก็เห็นธรรมได้ ผู้ใดเห็นธรรมได้ผู้นั้นก็พ้นทุกข์ได้ การศึกษาพุทธประวัติจึงมีประโยชน์ทำให้เข้าถึงคุณธรรมที่สอดแทรกอยู่
"ผู้ใดเห็นพระธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นเห็นพระธรรม"
ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าได้ผู้นั้นก็เห็นธรรมได้ ผู้ใดเห็นธรรมได้ผู้นั้นก็พ้นทุกข์ได้ การศึกษาพุทธประวัติจึงมีประโยชน์ทำให้เข้าถึงคุณธรรมที่สอดแทรกอยู่
พุทธะ โดยความหมายทั่วไปหมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในการศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนาจึงต้องทำไปด้วยความเบิกบาน อาการบานออกของดอกบัวก็สามารถใช้แทนความเิบิกบานที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปรู้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ทำให้ตื่นขึ้นจากความลุ่มหลงยึดมั่นว่านั้นเป็นเรา นั้นเป็นของเรา นั้นเป็นตัวตนของเราได้
ดอกบัวบานอยู่ในหม้อน้ำมนต์
ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เกิดขึ้นจากโคลนตม แต่เมื่อบานแล้วก็ไม่มีสีและกลิ่นของโคลนตม หมายความว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสแต่ท่านก็ไม่ติดโลก ไม่ติดกิเลส หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าโลกไม่ติดท่าน กิเลสไม่ติดท่าน
ดอกบัวยังใช้แบ่งบุคคลออกเป็น 4 แบบด้วย ดังนี้
(บุคคล 4 (ประเภทของบุคคล - four kinds of persons)
1. อุคฆฏิตัญญู (ผู้ที่พอยกหัวข้อก็รู้, ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน แต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง - a person of quick intuition; the genius; the intuitive)
2. วิปจิตัญญ (ผู้รู้ต่อเมื่อขยายความ, ผู้รู้เข้าใจได้ ต่อเมื่อท่านอธิบายความพิสดารออกไป - a person who understands after a detailed treatment; the intellectual)
3. เนยยะ (ผู้ที่พอจะแนะนำได้, ผู้ที่พอจะค่อยชี้แจงแนะนำให้เข้าใจได้ ด้วยวิธีการฝึกสอนอบรมต่อไป - a person who is guidable; the trainable)
4. ปทปรมะ (ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง, ผู้อับปัญญา สอนให้รู้ได้แต่เพียงตัวบทคือพยัญชนะหรือถ้อยคำ ไม่อาจเข้าใจอรรถคือความหมาย - a person who has just word of the text at most; an idiot) (จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ โดยพระพรหมคุณาภรณ์)
1. อุคฆฏิตัญญู (ผู้ที่พอยกหัวข้อก็รู้, ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน แต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง - a person of quick intuition; the genius; the intuitive)
2. วิปจิตัญญ (ผู้รู้ต่อเมื่อขยายความ, ผู้รู้เข้าใจได้ ต่อเมื่อท่านอธิบายความพิสดารออกไป - a person who understands after a detailed treatment; the intellectual)
3. เนยยะ (ผู้ที่พอจะแนะนำได้, ผู้ที่พอจะค่อยชี้แจงแนะนำให้เข้าใจได้ ด้วยวิธีการฝึกสอนอบรมต่อไป - a person who is guidable; the trainable)
4. ปทปรมะ (ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง, ผู้อับปัญญา สอนให้รู้ได้แต่เพียงตัวบทคือพยัญชนะหรือถ้อยคำ ไม่อาจเข้าใจอรรถคือความหมาย - a person who has just word of the text at most; an idiot) (จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ โดยพระพรหมคุณาภรณ์)
หม้อน้ำมนต์คือสิ่งที่เป็นมงคล สิ่งประเสริฐ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญบริษัทต้องมีการพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นศิริมงคล การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าก็นำมาสิ่งความสุขความยินดีแก่มหาชน
จำนวนดอกบัว ตริรัตนะ ศรีวัตสะ กลีบดอกบัว เกสร ฯลฯ แสดงหัวข้อหรือรหัสธรรมได้หลากหลายตามความสามารถในการอธิบายตีความหัวข้อธรรม
-----------------------------------------------------------------------------------------
ต่อไปด้านล่างนี้เป็นคำอธิบายโดยท่านพุทธทาส
ภาพบน
หม้อปูรณฆฏะแบบนี้ มีความสำคัญยิ่งกว่าแบบอื่นทุกแบบเท่า ๆ กับที่มีความงามยิ่งกว่าแบบอื่นทุกแบบนั้นเหมือนกัน. ภาพนี้เป็นแบบอมราวดี สมัยกลาง.
ที่กล่าวมามีความสำคัญยิ่งกว่าแบบอื่นทุกแบบนั้น ก็เพราะแบบนี้ ปรากฏอยู่ในที่ซึ่งต้องการแสดงภาพของการประสูติ อย่างเคียงขนานกันไปกับภาพที่แสดงถึงการตรัสรู้ การแสดงธรรมจักรและการปรินิพพานโดยตรง. สำหรับภาพแสดงเหตุการณ์ ๓ อย่างหลัง คือตรัสรู้ ธรรมจักร และนิพพานนั้น ทราบกันอยู่อย่างชัดเจนแล้วว่า ได้แก่ภาพต้นโพธิ์ ลูกล้อและสถูปดิน ตามลำดับ, ส่วนเหตุการณ์อย่างแรกคือการประสูตินั้น ยังฉงนกันอยู่มาก ว่าแสดงด้วยภาพอะไรเป็นสัญลักษณ์. ในที่สุดก็พบหม้อปูรณฆฏะแบบนี้ตั้งอยู่ที่ตำแหน่งนั้น ซึ่งมีทั้งแบบมถุรา, และแบบอมราวดี ในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของการประสูติ เข้าแถวเคียงกันไปตามนอน หรือสูงขึ้นไปตามตั้ง ด้วยกันกับภาพสัญลักษณ์อีก ๓ เหตุการณ์ดังที่กล่าวแล้ว. ยิ่งในแบบคันธาระด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะมีคนพนมมือขนาบอยู่สองข้างของหม้อ. แต่เนื่องจากภาพชนิดนี้มีน้อยมาก จึงไม่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปเหมือนภาพต้นโพธิ์ วงล้อและสถูปดินเหล่านั้น.
สรุปความว่า หม้อปูรณฆฏะแบบนี้ ในสมัยอมราวดีและสมัยมถุรา ได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประสูติโดยตรง, และสมัยคันธาระนั้น มีลักษณะคล้ายกับจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์โดยทั่ว ๆ ไปด้วย, หากแต่ว่าดอกไม้ที่ปักอยู่ในหม้อนั้นมิได้ทำเป็นดอกบัวเสมอไป ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะคติที่ศิลปินชาวกรีกถืออยู่นั้น ไม่ตรงเป็นอันเดียวกันกับของศิลปินชาวอินเดีย.
ในสมุดเล่มนี้ บรรจุอยู่แต่ภาพที่เราจำลองขึ้นเสร็จแล้วเท่านั้น จึงไม่มีภาพของหินสลักบางภาพที่กล่าวถึง เพราะยังไม่ได้จำลองขึ้น เนื่องจากจำลองยาก. ผู้ที่สนใจจริง ๆ จงตรวจดูจากหนังสือเรื่อง On the Iconography of the Buddha's Nativity เขียนโดย A. Foucher, พิมพ์ลงในแถลงการณ์ชุด Memoirs of the Archaeological Survey of India เล่มที่ ๔๖ โดยตรง ซึ่งมีทั้งภาพและเรื่องราวอย่างครบถ้วนโดยพิสดาร.
หม้อปูรณฆฏะแบบนี้ บางทีถูกสลักเป็นภาพหม้อแถวก็มีเหมือนกัน แต่มิได้อยู่ในลักษณะที่เป็นเพียงลวดลายประดับหากเป็นตัวเรื่องราว หรือมี Motif ไปในทางที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์นั่นเอง, และน่าประหลาดที่ว่า ทำไมหม้อปูรณฆฏะแบบอื่น ไม่ถูกทำขึ้นในลักษณะเช่นนั้นบ้าง ดังนั้นจึงถือว่า หม้อปูรณฆฏะแบบนี้ มีความสำคัญที่สุด เท่ากับมีความงามมากที่สุด ดังที่กล่าวแล้ว.
กอบัวในหม้อในภาพนี้ มีดอกตูม ๒ ดอก, ดอกแย้ม ๒ ดอก, ดอกบาน ๓ ดอก, ฝักบัว ๑ ฝัก, แล้วยังแถมมีดอกและใบ และผลไม้ชนิดอื่นรวมอยู่ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นไม้อะไรทั้งที่โคนกอบัว และที่ฐานของหม้อทั้ง ๒ ข้าง. ที่ตัวหม้อก็มีลวดลายที่แปลกและงามตามแบบอมราวดีแท้.
ภาพล่าง
บัวบานที่ใจกลาง ล้อมด้วยตรีรตนะ ๔ อัน ศรีวัตสะ ๔ อัน บัวบาน ๘ ดอก, มีจำนวนกลีบเป็นต้น เป็นจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์ เป็นลวดลายที่ทั้งงดงาม ทั้งศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง (จากหินสลัก แบบภารหุต สมัยสุงคะ พ.ศ. ๓๐๐–๔๐๐)
ดอกบัวซึ่งเป็นตัวสัญลักษณ์โดยตรงนั้น มีกลีบ ๑๖ กลีบ เผอิญเท่ากับจำนวนญาณ ๑๖ ญาณแห่งอานาปานสติ ๑๖ ขั้น ซึ่งแบ่งออกเป็นสติปัฏฐานทั้งสี่ อย่างละสี่ ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีอานาปานสติสูตรนั้นแล้ว ซึ่งเป็นทั้งหมดของญาณในการปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุมรรคผลขั้นสุดท้าย, มีเส้นเกสร ๔๘ เส้น, มีกลีบชั้นในอีก ๘ กลีบ.
ส่วนสิ่งประกอบรอบนอกนั้น ประกอบด้วยสิ่ง ๓ สิ่งคือตรีรตนะ ๔ ชิ้น, ศรีวัตสะ ๔ ชิ้น, ดอกบัว (ดอกใหญ่บานจนลู่ไปทางหลัง) ๘ ดอก, และดอกไม้เล็ก ๆ แซมเป็นระยะ ๆ อีก ๑๖ ดอก, สิ่งที่แปลกมาใหม่ก็คือ ศรีวัตสะ ซึ่งมีรูปร่างเหมือนตาลปัตร ๕ แฉกนั่นเอง.
ศรีวัตสะนี้ เป็นเครื่องหมายของความเป็นบุคคลสูงสุด หรือพระเป็นเจ้า และยึดถือกันมาแล้วแต่โบราณกาล ในทุกลัทธิทุกศาสนา รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย ดังที่ปรากฏอยู่ในหินสลักแผ่นนี้ซึ่งเป็นหินสลักเก่า ถึงยุคก่อนมีรูปปฏิมาของพระศาสดาแห่งศาสนาต่าง ๆ คือยุคก่อนมีพระพุทธรูปนั่นเอง
No comments:
Post a Comment