
ภาพปูนปั้นพุทธประวัติชุดแรกของโลก
ในประเทศอินเดีย มีภาพพุทธประวัติในหินสลักอยู่ประเภทหนึ่งซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นพุทธประวัติยุคแรกที่สุดในโลก และน่าสนใจที่สุด หรือมีค่าที่สุดในโลกด้วย, คือชุดที่ได้จำลองเอามาพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้จำนวนหนึ่งนั่นเอง, และเป็นภาพพุทธประวัติที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทยเรา.
ที่ว่าเป็นครั้งแรกในโลกนั้น หมายความว่า ก่อนหน้าพุทธประวัติชุดนี้ ยังไม่เคยมีใครที่ไหนได้ทำภาพพุทธประวัติขึ้น ไม่ว่าในประเทศไหนในโลก. พุทธประวัติชุดที่กล่าวนี้ เริ่มทำขึ้นในประเทศอินเดีย ระหว่าง พ.ศ. ๓๐๐ เศษ ถึง พ.ศ. ๖๐๐ เศษ เป็นระยะเวลาสามร้อยปีเท่านั้น โดยเป็นภาพพุทธประวัติที่ไม่ยอมทำรูปพระพุทธองค์อยู่ยุคหนึ่ง, หลังจาก พ.ศ. ๖๐๐ เศษเป็นต้นมาก็มีการทำภาพพุทธประวัติในยุคที่สอง คือมีพระพุทธรูปและมีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก่อนหน้า พ.ศ.๓๐๐ เศษขึ้นไปทางหลัง ก็ยังค้นไม่พบว่าได้มีการสลักภาพพุทธประวัติไว้ ณ ที่ใดเลย.
ที่ว่าน่าสนใจที่สุดหรือมีค่าที่สุดนั้น ก็เพราะมุ่งแสดงพระพุทธองค์ในทางนามธรรมยิ่งกว่าทางรูปธรรม, แสดงความสูงในทางจิตใจของพุทธบริษัทแห่งยุคนั้น ยิ่งกว่าในยุคนี้, จึงไม่ทำรูปของพระพุทธองค์ในลักษณะที่เป็นรูปมนุษย์ ซึ่งเป็นการแสดงความเขลาและความขลาดออกมาในที่สุด, แต่ได้แสดงด้วยสัญลักษณ์ที่ทำขึ้นเฉพาะเหตุการณ์นั้น ๆ ในพระชนม์ชีพของพระองค์ อย่างมีความหมายลึก ชนิดที่รูปภาพคนแสดงเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งจะได้วิจารณ์กันต่อไปตามสมควร.
เป็นที่เชื่อกันว่า พุทธศาสนาได้แผ่ออกไปนอกประเทศอินเดียแล้ว ตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๐ เศษ จวน ๓๐๐, สู่ประเทศใกล้เคียงเช่นลังกาเป็นต้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการทำภาพพุทธประวัติยุคก่อนมีพระพุทธรูปในประเทศนั้น ๆ เลย เพิ่งจะปรากฏมีในยุคที่มีพระพุทธรูปแล้วทั้งนั้น. แม้ทางประเทศสุวรรณภูมิ ซึ่งรวมดินแดนแห่งประเทศไทยเราอยู่ด้วยส่วนหนึ่งนี้ ก็ไม่ปรากฏว่ามีหินสลักพุทธประวัติแห่งยุค ไม่ยอมทำพระพุทธรูปนั้นเลย. แม้ที่นครปฐมและบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ จะขุดพบหินสลักภาพธรรมจักรจำนวนหนึ่ง ก็เป็นแบบสมัยคุปตะ อันเป็นเวลาล่วงมาถึง พ.ศ.๑๐๐๐ เศษแล้ว และเต็มไปด้วยพระพุทธรูปแบบคุปตะนั้นเอง, ดังนั้นจึงกล่าวว่า ยังไม่เคยเป็นที่รู้จักกันในประเทศไทยเรา สำหรับ "ภาพพุทธประวัติแบบไม่มีพระพุทธรูป" นี้, จึงควรสนใจกันเสียสักคราวหนึ่ง เพื่อความสมบูรณ์ของการศึกษา และเข้าใจพุทธศาสนาของตนยิ่งขึ้น.
เมื่อความสำคัญของภาพพุทธประวัติชุดนี้อยู่ที่การไม่ยอมทำรูปพระพุทธองค์เป็นรูปมนุษย์ (anthropomophic image) แต่พยายามทำเป็นสัญลักษณ์ (symbol) ไปเสียทั้งนั้น ดังนี้แล้ว ปัญหาย่อมเกิดขึ้นว่า ทำไมจึงไม่ยอมทำ? ถ้าเราตอบคำถามข้อนี้ได้ เราจะเข้าใจอะไรมากมายหลายอย่าง ในทางศิลปะ โบราณคดี ประวัติของศาสนา กระทั่งหลักธรรมะในขั้นสูงเช่นเรื่องความไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน เป็นต้น.
ในขั้นแรกที่สุด เราจะต้องทราบกันเสียก่อนว่า ประเทศอินเดียในยุคพุทธกาลหรือยุคอุปนิษัทนั้น มีวัฒนธรรมทางจิตใจหรือทางศาสนาขึ้นสูงถึงขนาดที่ประณามรูปเคารพ (Idol) กันเสียแล้ว ไม่บูชารูปเคารพในลักษณะของคนเขลาและคนขลาดกันแล้ว ในหมู่ศาสนิกบริษัทของพุทธศาสนา และศาสนาอื่นในระดับเดียวกัน, แม้ที่เป็นชั้นต่ำ ก็สมัครที่จะบูชาต้นไม้ ป่า ภูเขา แม่น้ำ หญ้าบอนบางชนิดที่เป็นหยูกยา สวนศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฟ้า ลม เป็นต้น กันมากกว่าที่จะบูชารูปเจว็ด, ถึงแม้ในการบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิตเซ่นสรวงพระเป็นเจ้า ก็มุ่งแต่จะเผาให้เป็นควันส่งไปเป็นต้น, ไม่มีรูปเจว็ดสำหรับป้ายโลหิตที่ปาก เหมือนที่ทำกันอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างยิ่ง, กลับไปสู่ยุคป่าเถื่อนสมัยวัฒนธรรมโมเฮนโชดาโร และแฮแรปป้า แห่งลุ่มน้ำสินธูเมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีก่อนพุทธกาล หรือร่วมห้าพันปีมาแล้ว ซึ่งเต็มไปด้วยรูปเจว็ดดินเผา. สรุปความว่า ในยุคอุปนิษัทของอินเดีย (ประมาณตั้งแต่ ๒๐๐ ปีก่อนพุทธกาล ลงมาถึง ๒๐๐ ปีหลังพุทธกาล) นั้น รู้จักนั่งเข้าฌาน นั่งสมาธิวิปัสสนา เพื่อค้นหาความจริงในด้านนามธรรม หรือความสูงในทางวิญญาณกันทั่วไปแล้ว จึงประณามการไหว้รูปเจว็ดกันแล้วในหมู่ชนที่มีวัฒนธรรม.
พระพุทธองค์ทรงบังเกิดขึ้นในยุคอุปนิษัทนี้ ทรงค้นคว้าและสั่งสอนในเรื่องความสูงทางวิญญาณ หรือทางนามธรรม. คำสอนของพระองค์นี้มีเนื้อหาสาระอยู่ที่การบังคับตัวเองหรือกิเลส. ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้ทรงย้ำอยู่แต่เรื่องการทำความเพียรเพื่อเป็นที่พึ่งของตัวเอง โดยไม่ต้องเกี่ยวกับคนอื่นนอกจากตน, แม้ว่าพระองค์จะทรงช่วยสาวกให้พ้นจากความทุกข์ได้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงประสงค์ที่จะให้ใครถือว่าพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าผู้ช่วยสัตว์นอกเหนืออำนาจธรรมชาติ, พระองค์ทรงขอร้องให้สาวกทุกคนมองหา "ผู้นำ" ที่ตัวธรรมะ, และมองตนเองในฐานะเป็นสรณะที่พึ่ง, แต่มหาชนส่วนใหญ่ในกาลต่อมา เป็นคนเขลาและขลาด จึงรู้สึกว่าธรรมะนั้นเป็นของยาก ไม่อาจจะเกี่ยวข้องด้วยได้, จึงหันมาติดแจในตัวพระองค์ ถือพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า ยิ่งกว่าที่จะถือว่าพระองค์เป็นมนุษย์ที่เป็นพระศาสดา; และมองไปแต่ในทางที่ว่า พระกรุณาของพระองค์นั้นสำคัญยิ่งไปกว่าความมั่นใจในการพยายามปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเอง เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง, ดังที่พระองค์กำชับไว้อย่างแน่นแฟ้น แม้ในวาระสุดท้ายที่เสด็จปรินิพพาน ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมแก่สาวกทั้งหลาย. ความหวังแต่จะให้พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (Saviour) เสียเรื่อยไปนี้เอง ได้นำไปสู่ลัทธิที่บูชาพระองค์อย่างพระเจ้า; ในชั้นแรกก็กราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเกี่ยวกับพระองค์ด้วยความรู้สึกเช่นนั้นไปก่อน จนกระทั่งยึดมั่นในพระสารีริกธาตุของพระองค์นานาชนิด เพราะความเขลาและขลาดมาก จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และมีความพอดีหรือถูกต้องเพียงไหนอย่างไร ยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็กล้าทำพระพุทธรูปขึ้นบูชาในลักษณะที่เป็นการถอยหลังเข้าคลองของตนเอง ในทางธรรมะหรือทางวิญญาณ, จนรกรุงรังไปด้วยพิธีรีตองทางวัตถุธรรมเกินกว่าความจำเป็น คือเกินกว่าที่จะเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือ Symbol เพื่อการน้อมระลึกในทางนามธรรมเท่านั้น, และทับถมปิดกลบธรรมะที่จะช่วยให้รอดได้จริงยิ่งขึ้นทุกที จนมีผู้กล่าวว่า "พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า" ขึ้นมาด้วยเหตุนี้
ทีนี้ เราจะย้อนกลับไปถึงความรู้สึกอันเกี่ยวกับรูปเคารพในประเทศอินเดีย ในสมัย พ.ศ. ๓๐๐ ถึง ๖๐๐ กันใหม่ เพื่อศึกษาดูว่าในระยะกาลนั้น มหาชนมีความรู้สึกในเรื่องนี้กันอย่างไร
หลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่จริงในหินสลักต่าง ๆ นั้น ค้นพบได้จากที่ ๓ แห่งคือ ที่สถูปภารหุต ค่อนไปทางทิศเหนือ, ที่กลุ่มสถูปสาญจี ทางภาคกลาง, และกลุ่มสถูปอมราวดี ทางอินเดียใต้, ซึ่งมีหินสลักภาพพุทธประวัติอยู่ด้วยกันมากมาย สำหรับสถูปภารหุตนั้น ถูกทำลายสูญหายไปเสียมาก เมื่อเจ้าหน้าที่ทางโบราณคดีไปพบ เหลืออยู่ประมาณ ๑ ใน ๔ และได้นำมาเก็บรักษาไว้ใน Indian Museum ที่กัลกัตตาทั้งหมด แม้แต่ชิ้นใหญ่ ๆ เช่นซุ้มประตูขนาดมีความสูงตั้ง ๓ วา, จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปดูที่ในป่า ณ ที่เดิม สำหรับสถูปสาญจีนั้น นับว่าโชคดีมาก ที่อะไร ๆ ก็ยังคงอยู่ในที่เดิม จนกระทั่งสามารถจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สถานขึ้นโดยเฉพาะ ณ ที่นั้นเอง ควรจะไปดูอย่างยิ่ง สำหรับสถูปกลุ่มอมราวดีทางอินเดียใต้นั้น น่าสังเวชที่ชาวบ้านพบก่อนเจ้าหน้าที่ รื้อแผ่นสวยงามไปขาย จนกระทั่งกระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ กระทั่งในต่างประเทศ และตกเป็นของบริษัทการค้าของฝรั่งก็มิใช่น้อย แต่ในที่สุดชิ้นที่สวยงามประมาณ ๒๐๐ ชิ้น ก็ไปรวมกันอยู่ได้ที่บริติชมิวเซียม ในประเทศอังกฤษ โดยความพยายามของเจ้าหน้าที่ทางโบราณคดีประเทศนั้น, ส่วนที่เหลืออีกมากมายนั้นถูกนำไปรวมรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งรัฐมัดราส, จัดเป็นอมราวดีแก็ลเลอรี่ที่ใหญ่โตทีเดียว มีทั้งยุคที่ยังไม่มีพระพุทธรูปเลย, และยุคที่มีบ้างไม่มีบ้าง กระทั่งยุคที่มีพระพุทธรูปเต็มที่ เพราะอาณาจักรอันธระแห่งยุคอมราวดีนี้ ตั้งอยู่นานถึง ๗๐๐ ปี จึงได้มีภาพพุทธประวัติทุกยุค และทุกแบบ ซึ่งน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับที่ภารหุตนั้นมีแต่ยุคที่ไม่ทำพระพุทธรูป, ส่วนที่สาญจีนั้นโดยส่วนใหญ่ต้องถือว่าเป็นยุคก่อนมีพระพุทธรูปด้วยเหมือนกัน เพิ่งจะมีพระพุทธรูปและสิ่งต่าง ๆ ในสมัยคุปตะเพิ่มขึ้นบ้าง ไม่เป็นส่วนสำคัญอะไรเลย และไม่มีใครเรียกพระพุทธรูปเหล่านั้นว่าพระพุทธรูปแบบสาญจีกันเลย, ถือว่าเป็นศิลปกรรมแบบสาญจีกันแต่เฉพาะที่ทำในสมัยก่อนมีพระพุทธรูป หรือสมัยสุงคะ กันทั้งนั้น
จากความใหญ่โตมโหฬาร, ความมากมาย, และความประณีตบรรจงในการกระทำ ตลอดถึงความเสียสละอดทน อันจะสังเกตเห็นได้จากศิลปวัตถุนั้น ๆ ทำให้รู้สึกว่าพุทธบริษัทแห่งสมัยนั้น (พ.ศ. ๐๐๑-๖๐๐ ) ไม่มีความรู้เรื่องพระพุทธรูปกันเสียเลยจริง ๆ และไม่มีใครเคยทำพระพุทธรูปขึ้นเลยในระยะนี้ ประชาชนทั่วไปก็ดี พวกช่างหรือศิลปินก็ดี, กษัตริย์หรืออิสรชนก็ดี ตลอดถึงคณะสงฆ์และพุทธบริษัททั่วไปก็ดี มั่นคงอยู่ในคติที่ว่าองค์พระศาสดาหรือ "พระภควัน" นั้น ไม่ใช่สิ่งที่อาจจะแสดงได้ด้วยรูปของมนุษย์, สิ่งที่อาจจะแสดงได้ด้วยรูปของมนุษย์นั้น เป็นเพียงเปลือกนอกของสิ่งที่เรียกว่าพระศาสดาที่แท้จริง อันจะเป็นที่พึ่งของเราได้ ถ้าเราแสดงภาพของพระภควันด้วยรูปร่างมนุษย์เช่นนั้น เราก็เป็นคนตู่พระภควัน หรือแสดงพระภควันในลักษณะที่เป็นของเท็จหรือของปลอมออกมา, เพราะว่าใครจะไปทำภาพของหน้าตาแขนแมนของพระองค์ให้เหมือนของจริงได้, หรือว่าใครจะแสดงอารมณ์ (mood) อันแท้จริงที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปนั้นให้เหมือนของจริงหรือถูกต้องได้, ย่อมทำไปตามอารมณ์ของผู้ทำเอง จนมีมากแบบมากชนิด น่าเกลียดน่าชังก็มี เป็นเจ้าชู้ไปก็มี, บูดบึ้งไม่สมกับความเป็นพระภควันไปก็มี มากมายเหลือที่จะกล่าวได้, ยิ่งพยายามยิ่งขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งไกลไปเท่านั้น เพราะทำด้วยมานะทิฏฐิของตนเอง ไม่ได้ทำด้วยจิตว่างเหมือนจิตของพระภควันเอง, และโดยแท้จริงนั้น สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ในลักษณะที่เป็น mood นั้น จะมีไม่ได้เลยแก่องค์พระภควันที่แท้จริง, จะมีแม้เพียงบางอย่างก็ที่นามรูปอันเป็นชั้นผิวนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพระภควันที่แท้จริงเลย เมื่อเขารู้จักแยกพระภควันองค์จริง ที่เขาถือเอาเป็นที่พึ่ง ออกจากเปลือกนอกที่ปรากฏแก่คนทั่วไปได้ดังนี้ เขาจึงไม่ทำพระภควันนั้นให้เป็นรูปมนุษย์ มีหน้าตาแขนแมนอย่างนั้น อย่างนี้แต่ประการใด
ทีนี้ ก็มาถึงปัญหาเกี่ยวกับสัญลักษณ์
พวกที่ทำพระพุทธรูปขึ้นมา ก็จะหาทางออกว่า แม้ที่ทำเป็นองค์พระพุทธรูปขึ้นมานั้น ก็มุ่งให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ (Symbol) ไม่ใช่ประสงค์จะทำเป็นรูปเหมือน (idol); ดังนั้นแม้จะมีอารมณ์ (mood) อะไรแสดงอยู่ในหน้าตานั้นบ้าง ก็ให้ถือเป็นเพียงสัญลักษณ์พอให้รู้ประวัติของพระพุทธองค์ได้ก็แล้วกัน ข้อนี้ยิ่งพูดไปก็จะยิ่งเห็นว่าเป็นการหาทางออกอย่างข้าง ๆ คู ๆ ยิ่งขึ้น, เพราะว่า ผู้ที่หลุดพ้นแล้วโดยแท้จริงนั้น ย่อมพ้นจากการกระตุ้นหรือการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง จึงไม่มีแบบหรือรูปของอารมณ์ (mood) ใด ๆ ที่เป็นของจริงสำหรับท่าน มีแต่ที่เปลือกนอกดังที่กล่าวแล้ว; การไปแสดงสัญลักษณ์ของสิ่งชั้นเปลือกนอกที่มิใช่พระองค์จริงนั้น จะมีประโยชน์อะไร, มิกลายเป็นการบ้าบอยิ่งขึ้นไปอีกหรือ
พวกที่ทำภาพพุทธประวัติในหินสลักที่สาญจี ภารหุต และอมราวดีนั่นแหละ เป็นพวกที่ทำภาพพระพุทธองค์ในลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์อย่างแท้จริง, และเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกต้องถึงที่สุดจริง ๆ ด้วย พวกนี้มีความเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ ที่เหมาะสมสำหรับพระองค์นอกจากสัญลักษณ์แห่งความว่าง, ดังนั้น เราจึงได้เห็นบัลลังก์ที่ว่างเต็มไปหมดในภาพเหล่านั้น โดยไม่มีใครอยู่บนบัลลังก์ กระทั่งบนหลังม้าที่ออกผนวช ก็มิได้มีใครนั่งอยู่บนนั้น (ดูตัวอย่างภาพ ๒๗, ๓๔, ๓๖, ๓๗, ๓๘, ๓๙, ๔๐, ๔๒, ๔๓, ๔๔, ๔๕, ๔๖) ผู้ดูจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องเสียด้วยว่า ไม่ใช่ตัวบัลลังก์นั้นเป็นสัญลักษณ์ หากแต่ว่า ความว่างจากตัวคนบนบัลลังก์นั่นแหละเป็นตัวสัญลักษณ์ เราอาจรู้หรือทายได้ทุกคนว่า บนบัลลังก์นั้นมีพระพุทธองค์ประทับอยู่ แต่องค์แท้ของพระพุทธองค์นั้น คือความว่างจากบุคคลอันอยู่ในลักษณะซึ่งเราไม่สามารถจะแสดงด้วยภาพ หรือแบบหรือรูปใดได้ นอกจากความว่างนั้นเอง ส่วนองค์ไม่แท้หรือเปลือกนอก จนกระทั่งองค์ปลอมนั้น เราอาจจะแสดงด้วยภาพอะไรก็ได้ตามใจผู้ทำนั่นเอง
เราต้องระลึกไว้เสมอว่า หัวใจของธรรมะหรือตัวแท้ของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ตรงที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นให้มีอะไรเป็นบุคคลขึ้นมา, ให้ว่างจากบุคคล คือให้เป็นเพียงขันธ์ อายตนะหรือธาตุทั้งหลายตามธรรมชาติ จนกระทั่งว่างไปในที่สุด จนอาจจะกล่าวได้ว่า ฆ่า "คน" เสียให้หมดแล้วก็จะเป็นพระอรหันต์ ดังนี้ ข้อนี้หมายความว่าให้ทำลายความรู้สึกที่มั่นหมายว่าเป็นบุคคลนั้นเสียโดยสิ้นเชิง จนรู้สึกว่างจากคน ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน โดยทุก ๆ ประการ, เรียกโดยภาษาธรรมขั้นสูงสุดว่า หมดอัสมิมานะ หมดอหังการมมังการ โดยทุก ๆ ประการนั่นเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเช่นนี้ก่อนใครทั้งหมด และทรงสอนความเป็นเช่นนี้ ดังนั้นสัญลักษณ์ที่ควรคู่ของพระองค์ ก็คือความว่างนี้เอง ผู้ให้ทำภาพหินสลักที่ภารหุตและสาญจี ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่ จึงให้ทำสัญลักษณ์ของพระองค์เป็นภาพบัลลังก์ว่างเปล่าเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ส่วนมากยังแถมมีต้นโพธิ์ หรือต้นไม้อย่างอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นของพระองค์ เช่นต้นไทร เป็นต้น มุงหรือปกอยู่เหนือพระแท่นอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าบนพระแท่นนั้นภายใต้ร่มไม้นั้น พระองค์ประทับอยู่ เป็นการแสดงทั้งสัญลักษณ์และเรื่องราวของพระองค์พร้อมกันไปในคราวเดียวกัน
ทีนี้ยังมีสัญลักษณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งบางทีก็ทำวางไว้บนพระแท่นนั้น (ดูภาพที่ ๔๑) คือรูปตรีรตนะ มีลักษณะเป็นดอกบัวบานอยู่ในวงกลมคือความว่าง และมีเปลวแสงสว่างออกมาจากวงกลมนั้น อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายดีเป็นพิเศษจนกลายเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ไปในที่สุด (มีคำอธิบายอย่างละเอียดที่ภาพที่ ๗, ๘, ๔๑, ๕๓) เมื่อพระแท่นและต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายทางร่างกายเนื้อตัว ตรีรตนะนี้ก็แสดงความหมายทางคุณธรรมหรือจิตใจโดยตรง อย่างสูงสุดหรือถึงที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของแบบสาญจีและภารหุต
สำหรับแบบอมราวดีนั้น ยังก้าวไกลออกไปอีกก้าวหนึ่ง คือทำสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์เพิ่มขึ้นอีกแบบหนึ่ง คือ ทำเป็นเสาสูง มีไฟลุกรอบตัว ที่ยอดเสามีเครื่องหมายตรีรตนะ ที่โคนเสามีรอยพระบาทคู่หนึ่ง นี้นับว่าเป็นความคิดก้าวหน้าต่อมาของยุคอมราวดีเอง, ดูก็แยบคายดีมาก และใคร ๆ ที่เป็นพุทธบริษัทก็พอจะอธิบายได้เองแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ที่เอามาประกอบกันเข้าเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์นั้น แต่ละสิ่งมีความหมายว่าอย่างไร ทั้งหมดนั้นมุ่งแสดงคุณธรรมทางนามธรรม มิได้มุ่งแสดงทางวัตถุร่างกาย, ดูแล้วทั้งสวยทั้งศักดิ์สิทธิ์ ดูแล้วเพิ่มความรัก ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ ยิ่งกว่าดูพระพุทธรูปหลายแบบทีเดียว เพราะทำให้ซาบซึ้งในคุณธรรมของพระองค์ลึกกว่ากันนั่นเอง
เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ในเรื่องราวอันเกี่ยวกับการไม่ยอมทำรูปเหมือน เช่นพระพุทธรูป แต่ทำสัญลักษณ์แห่งความว่างและอื่น ๆ แทนนี้ เราจะนึกได้ด้วยสามัญสำนึกว่า แม้ในบุคคลธรรมดา ที่เป็นบุคคลสำคัญของชาติ เช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นต้นนี้ ในสมัยที่เราได้ฟังแต่พระเดชพระคุณของท่าน เรารู้สึกจับใจซาบซึ้งด้วยความรัก ความเลื่อมใส นับถือบูชาอย่างไร, ทั้ง ๆ ที่เราทายไม่ถูกว่าพระพักตร์ของท่านเป็นอย่างไร, ครั้นเราทำรูปของท่านขึ้นในลักษณะรูปเหมือน ความประทับใจที่เคยมีอย่างซาบซึ้งนั้น มันชืดลงอย่างไรและเพียงไร, และยิ่งชินตาหนักเข้า มันจะเปลี่ยนไปอย่างไร, หรือว่าเมื่ออนุสาวรีย์นั้นกร่อนไปตามกาลเวลา (เช่นพระพุทธรูปหักเกลื่อนไปตามที่ต่าง ๆ) เราจะมีความรู้สึกอย่างไร เพราะยากที่ใครจะยอมเชื่อได้ว่าอนุสาวรีย์ของบุคคลนั้นทำได้เหมือนตัวจริง เพราะไม่มีใครเคยเห็นท่าน ในบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่ ต้องเดาต้องสันนิษฐาน ดังนั้นจึงเกิดความลังเลขึ้นในใจของผู้เห็นทุกคราวที่เห็น ความลังเลนั้นเอง ย่อมจะบั่นทอนความรู้สึกประทับใจอย่างซาบซึ้งในตอนที่เรายังไม่ได้ทำรูปเหมือนของท่านขึ้นมา ทีนี้เราขยับใกล้เข้ามาถึงรูปถ่ายที่เหมือนจริง ๆ ของคนจริง ๆ ของใครคนหนึ่ง ที่เราเคยประทับใจในคุณธรรมของเขา ในขณะที่เรายังไม่เคยเห็นรูปถ่ายของเขา, รูปถ่ายที่เราได้รับมานั้น จะทำลายความรู้สึกบางอย่างแทบสิ้นเชิง ในทางความสูงหรือศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่บรรยายเป็นตัวหนังสือหรือคำพูดไม่ได้, แม้ว่าจะได้ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างอื่นขึ้นมา แทนอีกทางหนึ่ง มันก็ไม่มีค่าเท่ากับรู้สึกอันแรกโน้น ทีนี้ขยับใกล้เข้ามาอีกถึงตัวคนจริง ๆ, นักการเมือง หรือนักพูดบางคน ตลอดถึงครูอาจารย์ เมื่อเรายังไม่เคยเห็นตัวท่านหรือนั่งใกล้ท่าน เรารู้สึกอย่างหนึ่งในทางความนิยมชมชอบ จนบรรยายไม่ได้, ครั้นเห็นตัวจริงเข้า กระทั่งเสพคบกันเข้า ความรู้สึกอันนั้นจะเปลี่ยนไปทันที ทั้งที่ท่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย เพียงแต่เราไปเห็นหนวดที่น่าเกลียดของท่านเข้า หรือกลิ่นตัวที่ท่านไม่ค่อยจะอาบน้ำบ่อยเหมือนพวกเราบ้าง, ฯลฯ เราก็จะสูญเสียความรู้สึกอันแรกไปทันที ในลักษณะที่ขาดทุน ไม่ใช่เป็นกำไร, ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อเรายังไม่เคยเห็นท่านนั้น เราได้รับ "หัวใจ" ของท่าน พอเราเห็นท่าน เราก็ติดที่ "เปลือก" ของท่าน, และเรายังไม่มีจิตใจสูงพอที่จะแทงทะลุเปลือกนั้นเข้าไป เราจึงสูญเสียกลิ่นหอม (essence) ในหัวใจของท่าน และได้ "กลิ่นเหม็น" ที่ร่างกายอันปฏิกูลของท่านเข้ามาแทน ความหมายอันลึกซึ้งที่พึงได้จากสัญลักษณ์อันลึกซึ้งนั้นเป็นเหมือน "กลิ่นหอม"; ส่วนลักษณะของคนธรรมดาสามัญทั่วไปอันจะได้จากภาพเหมือนของท่านนั้น คือ "กลิ่นเหม็น" ดังนั้นบุคคลในยุคที่มีปัญญาอย่างยุคอุปนิษัทของอินเดีย จึงไม่ยอมทำรูปเคารพหรือรูปเหมือน
เราจะดูกันต่อไปอีกนิดหนึ่ง คือเมื่อรูปเคารพเช่นพระพุทธรูป เป็นต้น บุบสลายลงไป มีคอหัก แขนขาด หูแหว่ง จมูกวิ่น เป็นต้น เราเห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี้อย่างหนึ่ง, กับเมื่อรูปสัญลักษณ์เช่น แท่นว่าง รูปธรรมจักร หรือรอยพระบาทเป็นต้น แตกหักแหว่งวิ่นหรือกระจัดกระจายไป เราจะรู้สึกเหมือนกันกับที่เห็นพระพุทธรูปบุบสลายนั้นหรือไม่ โดยที่แท้นั้นย่อมต่างกันลิบลับ คือ สัญลักษณ์ที่แตกหักนั้น ยังมีความศักดิ์สิทธิ์และความหมายอันให้ความรู้สึกแก่จิตใจอยู่เท่าเดิม ส่วนรูปเคารพนั้นให้ความทุเรศ ให้ความปั่นป่วนรวนเรแก่จิตใจ ถ้าหักออกในส่วนที่ทำให้ดูน่าเกลียด เราก็จะรู้สึกเกลียดดังนี้เป็นต้น, ดังนั้น คนที่ฉลาดในด้านจิตใจ จึงพากันไม่นิยมทำรูปเคารพ และห้ามการทำรูปเคารพมาแล้วตั้ง ๓,๐๐๐ กว่าปี เพิ่งจะมาถอยหลังเข้าคลองกันอีกเมื่อยุคหลังนี้
ทีนี้ ในระดับสูงสุด คือการทำสัญลักษณ์นั้น ถ้าทำเป็นภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรูปหรือแบบขึ้นมา ก็ต้องเผชิญกันกับความชำรุดเป็นธรรมดา ดังนั้นคนที่ฉลาดที่สุดจึงใช้ "ความว่าง" เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จักชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่นิดเดียว นับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ยอดสุดของสัญลักษณ์ทั้งหลาย เมื่อไม่มีอะไรจะกระทบกระทั่งต่อ "ความว่าง" ได้ฉันใด ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะกระทบกระทั่งพระภควันพระองค์จริง อันเป็นอนันตกาลได้ฉันนั้น ดังนั้นพุทธบริษัทในอินเดีย สมัย พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐ จึงไม่ยอมทำรูปเคารพแก่พระพุทธองค์, แต่ได้ทำสัญลักษณ์ในขั้นที่ฉลาดที่สุด คือความว่างแทน
เมื่อพูดกันถึงความเคารพหรือไม่เคารพ เราก็ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่า เมื่อเราเคารพผู้ใด เราไม่บังอาจแม้แต่จะเรียกชื่อท่าน เราต้องเลี่ยงไปหาคำอย่างอื่นแทน ซึ่งไม่ใช่ชื่อตัวของท่าน, ในทำนองเดียวกันนี้ การที่เราจะไปปั้นหรือแกะสลักหน้าตาหัวหูของท่าน หรือใช้คนงานผู้หญิงขึ้นเหยียบเพื่อตะบุ้งตะไบหรือเหล็กสกัดตกแต่งรูปปั้นของท่าน ย่อมจะมีความหมายยิ่งไปกว่าการเรียกชื่อตัวของท่าน เราควรจะเลี่ยงไปหาสัญลักษณ์หรือการทำอย่างอื่นแทน หรือไม่ทำอะไรเสียเลย ย่อมจะเป็นความเคารพกว่า, ด้วยเหตุนี้ชนชาติฮิบรู เมื่อสามพันปีมาแล้ว ก็ไม่ยอมทำรูปเคารพ, กระทั่งยุคอุปนิษัทในอินเดียก็ไม่ยอมทำรูปเคารพที่เป็นภาพเหมือนหรือรูปคน ยิ่งไปแกะสลักให้สวยเข้าเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นองค์ปลอมเข้าเท่านั้น, ยิ่งทำให้เหมือนเข้าเท่าไร ก็ยิ่งต้องเดามากเข้าเท่านั้น, ยิ่งเดามากก็ยิ่งเป็นองค์ปลอมมากเข้าเท่านั้น, จึงสู้ให้เป็นองค์จริงอยู่ที่ตัวคุณธรรมของท่านไม่ได้ จะไม่ถูกเปลือก และได้รับ "กลิ่นเหม็น". ศาสนาคริสตังและศาสนาอิสลาม รับช่วงลัทธิไม่ยอมทำรูปเคารพมาจากศาสนายิวของชาวฮิบรู มาถือกันอย่างเคร่งครัด แต่ไม่เท่าไรศาสนาคริสเตียนก็ละทิ้งอุดมคติอันนี้เสีย ไปนิยมทำภาพพระเจ้า ภาพพระเยซู และแม่พระขึ้นมาใหม่ กลายเป็นมีรูปเคารพไป แทนที่จะมีแต่กางเขนอันเป็นสัญลักษณ์ที่ประเสริฐอยู่แล้ว; คงอยู่แต่ศาสนาอิสลามเท่านั้นในโลกนี้ ซึ่งยังคงซื่อตรงต่ออุดมคติข้อนี้อยู่ได้ โดยไม่ยอมทำหรือมีรูปเคารพชนิดไหนหมด, สมมติว่าถ้าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเห็นในเวลานี้ ก็คงจะทรงชมเชยอิสลามมิกชนในข้อนี้ พร้อมกับทรงสั่นพระเศียรต่อพุทธศาสนิกชน พวกที่ทำรูปของพระองค์ขึ้นมาวางขายตามทางเท้าริมถนนมีปริมาณปีบ ๆ ถัง ๆ ลัง ๆ นั้นทีเดียว. ด้วยเหตุที่การทำรูปเหมือน ไม่เป็นการแสดงความเคารพต่อท่านเจ้าของรูปนั้นเอง พุทธบริษัทในยุค พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐ จึงไม่ยอมทำโดยประการทั้งปวง, แล้วมาดกดื่นกันในสมัยทำพระพิมพ์และพระเครื่อง ซึ่งเป็นการแสดงความเขลาและความขลาดออกมาจนกระทั่งถึงที่สุดก็ไม่รู้จะไปทางไหนกัน จึงจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ซึ่งเรียกว่าพระภควันตลอดมาในที่นี้.
แม้พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ทำยากในเวลานี้เท่าที่มีอยู่ในโลกนี้ ในประเทศอัฟกานิสถาน อินเดียทุกภาคและทุกยุค ลังกา ธิเบต มองโกเลีย จีน ญี่ปุ่น เขมร ลาว ไทย กระทั่งอินโดนีเซียเป็นที่สุดนั้น มีกันประเทศละหลาย ๆ แบบ เพราะหลาย ๆ ยุค และยังมีฝีมือดี ฝีมือปานกลาง และฝีมือเลว เป็นเหตุให้มีสารพัดอย่าง แสดงอารมณ์หรือ mood ต่าง ๆ กัน จนกระทั่งที่น่าเกลียดน่ากลัวก็มี ถ้าจะนำมารวมได้ในที่เดียว แล้วบอกให้ใครเลือกไหว้ที่ถูกที่เหมือนพระองค์จริง ๆ แล้ว เขาก็จะเวียนหัวและเป็นลมตายไม่ได้ไหว้กันเท่านั้นเอง, และถ้าสมมติว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเห็นชุมนุมพระพุทธรูปในลักษณะเช่นนี้ด้วยพระองค์เอง ใคร ๆ ก็ต้องเชื่อว่าพระองค์จะทรงส่ายพระเศียร ตรัสอะไรไม่ได้ แม้แต่จะทรงระบุว่าชิ้นไหนเป็นที่พอพระทัยของพระองค์เป็นต้น. นี่แหละคือผลสะท้อนที่เกิดขึ้นอย่างแตกต่างกัน ในระหว่างการทำรูปเคารพและการไม่ยอมทำรูปเคารพ ของพุทธบริษัทสมัยปัจจุบันกับพุทธบริษัทแห่ง พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐.
สรุปความที่กล่าวมาแล้วอย่างยืดยาวนี้แล้ว ก็พอจะทำให้ผู้อ่านเรื่องนี้หยั่งทราบได้เองว่า พุทธบริษัทแห่งยุคที่ไม่ยอมทำพระพุทธรูปนั้น เขามีความรู้สึกกันอย่างไรในเรื่องนี้, และไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่จะทำพระพุทธรูปขึ้น มิใช่ว่าเขาจะจนปัญญาหรือไร้ฝีมือในการทำพระพุทธรูปนั้น ดังเราจะเห็นได้ว่าเขาสามารถทำหินสลักอันงดงามนั้น ซึ่งยากกว่าการทำพระพุทธรูปโดยตรงเป็นไหน ๆ, หากแต่เขาต้องการจะแสดงความรู้สึกที่สูงกว่า เป็นอุดมคติกว่า เข้าถึงพระภควันองค์จริงได้ง่ายกว่า เพราะไม่ผูกพันกับวัตถุนิยม (Materialism) แต่ประการใดนั่นเอง.
ทั้งหมดนี้เป็นการตอบปัญหาที่ว่า ทำไมจึงไม่ยอมทำพระพุทธรูปหินสลักเหล่านี้ ทั้งที่เป็นเรื่องพุทธประวัติโดยตลอด, ก่อนแต่จะจบคำนำนี้ ขอทำความเข้าใจกันบางอย่างคือ :–
พ.ศ. ที่อ้างถึงในคำอธิบายใต้ภาพเหล่านี้ กำหนดเอาตามที่เห็นว่าเหมาะสำหรับคนทั่วไป ที่มิใช่นักโบราณคดี เช่นกำหนดสมัยสาญจีไว้เป็น พ.ศ. ๔๐๐-๕๐๐ นั้น เล็งถึงส่วนใหญ่หรือที่เป็นจุดกลาง อาจจะขยายออกไปได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เพราะสถูปสาญจีนั้นสร้างครั้งแรกตั้งแต่สมัยอโศก พ.ศ. ๒๐๐ เศษ, แล้วเสริมสร้างให้ใหญ่โตขึ้นในสมัยสุงคะ ใน พ.ศ. ๓๐๐–๔๐๐ และยืดเยื้อมาจนถึง พ.ศ. ๕๐๐ เศษ, ดังนั้นจึงถือเอาจุดศูนย์กลางที่ พ.ศ. ๔๐๐–๕๐๐, ภาพบางภาพเป็นของรุ่น พ.ศ. ๕๐๐ หรือ ๕๐๐ เศษก็มี. สำหรับภาพภารหุตนั้น มีส่วนที่จะกล่าวได้ว่า เป็นของในระยะ พ.ศ. ๓๐๐–๔๐๐ แท้ จะมีเศษจาก ๔๐๐ ก็ไม่มากนัก ส่วนภาพแบบอมราวดีนั้น กำหนดให้ง่าย ๆ ว่า ๔๐๐–๗๐๐ โดยประมาณที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว, เพราะในตอนหลังคือ พ.ศ. ๖๐๐–๗๐๐ นั้น มีทำทั้งที่มีพระพุทธรูป และไม่มีพระพุทธรูปปนเปกันไป, แต่ก็ต้องนับรวมไว้ในประเภทที่ไม่มีพระพุทธรูปนี้ด้วย.
สำหรับคำที่เรียกของบางอย่างที่มีชื่อเรียกหลายคำก็เอาแต่คำเดียว ดังเช่นหม้อปูรณฆฏะนั้น บางทีเรียกภัทรฆฏะบ้าง อย่างอื่นบ้าง ในที่นี้เรียกปูรณฆฏะอย่างเดียว, จะเรียกให้ผิดกันตามรูปร่างก็เกินความจำเป็นในที่นี้, เพราะเป็นเรื่องปลีกย่อยเกินไป, จะทำให้กินเนื้อที่การอธิบายมากออกไปโดยไม่คุ้มค่า
จำนวนจุดหรือจำนวนกลีบของดอกบัว เป็นต้น ที่เข้าใจว่าเล็งถึงอะไรบางอย่างนั้น ถ้ายึดถือไปในทำนองขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นมิใช่พุทธศาสนาไปทันที, แต่ถ้ามีความมุ่งหมายจะใช้ประโยชน์ในทางสอนธรรมะ หรือเพื่อแพร่หลายอุดมคติบางอย่างแล้ว เรื่องก็จะกลายจากลัทธิเชื่อโชคลางมาเป็นสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ไป ในฐานะที่ธรรมะที่ดับทุกข์ได้โดยตรงนั้น ก็เป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน, เราอาจจะดัดแปลงไสยศาสตร์หรือ superstitous ให้กลายมาเป็นวิทยาศาสตร์ได้ด้วยเหตุนี้. ทั้งนี้เพราะว่าจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรทำนองนี้ เป็นคติโบราณในทำนองของขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อและทำกันไปโดยไม่รู้ความหมายหรือความมุ่งหมายของสิ่งเหล่านั้น, แต่อย่าลืมว่าหินสลักเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำโดยพุทธบริษัทที่กำลังรุ่งเรืองด้วยพุทธธรรมที่ยังใหม่หรือบริสุทธิ์อยู่ จึงไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องการถือของขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นการดัดความหมายของจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์นั้น ๆ เสียใหม่ ให้กลายมาเป็นหลักธรรมที่จำเป็นแก่มนุษย์จริง ๆ ไปเสีย, เพราะประชาชนชอบใช้หรือยึดถือจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว.
การแสดงธรรมหรือแสดงประวัติด้วยภาพนี้ มีผลลึกซึ้งกว่าการแสดงด้วยตัวหนังสือ หรือด้วยคำพูด ตรงที่จะทำให้เกิดการประทับใจลึกซึ้งกว่า, เพลิดเพลินกว่า และโดยไม่รู้สึกตัวยิ่งกว่า, มีการถ่ายทอดทางจิตใจได้ง่ายกว่า ถ้าหากว่าการกระทำนั้น กระทำโดยศิลปินที่ถึงขนาดจริง ๆ, ดังนั้นเราจึงควรสนใจที่จะศึกษาธรรมะด้วยภาพกันเสียบ้าง และสมุดเล่มน้อยนี้ก็เกิดขึ้นเพื่อความมุ่งหมายอันนี้.
ในที่สุดนี้ ขอแสดงความขอบคุณแด่มิตรสหายหลายท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือในการจำลองภาพชุดนี้ที่สวนโมกขพลาราม และการถ่ายทำทุกระยะและทุกตอน จนประสบความสำเร็จตามลำดับ ๆ ตลอดถึงท่านที่ให้หยิบยืมหนังสือและรูปภาพที่หาได้โดยยากบางอย่าง, ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.
ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ
โมกขพลาราม ไชยา
๒๕ ธันวาคม ๐๘
อาจารย์ครับ อยากให้อาจารย์เล่าความเป็นมาของโรงปั้นและภาพปั้นชุดนั้น
ภาพปั้นชุดนี้มันหมายตาเอาไว้ก่อนไปอินเดียแล้ว ตั้งแต่อ่านเจอในหนังสือ มันพิเศษตรงที่เป็นพุทธประวัติที่เขายังไม่มีรูปเคารพของพระพุทธเจ้า พอไปอินเดียก็ไปถ่ายมาเพิ่มเติม ตอนหลังติดต่อไปทาง British Museum ที่อังกฤษ เขาก็ดีเหลือเกิน ถ่ายรูปมาให้ เราจึงคุยว่าภาพพุทธประวัติชุดนี้ของเรานี้สมบูรณ์ที่สุดในโลก มันแสดงถึงความเจริญทางวิทยาการสมัยนั้น ที่เขาไม่บูชารูปเคารพกัน เขาใช้เป็นสัญลักษณ์ ไม่ใช่รูปสำหรับบูชา
ตอนเริ่มทำนั้นได้คุณไสว (พระไสว สิวาโณ) เป็นช่างเขียน พระหลายรูปเป็นช่างปั้น ตอนนั้นมีคุณโกวิท (อดีตพระโกวิท เขมานันทะ) อยู่ด้วย พระนาคเสนจากอินเดียพอทำได้บ้าง แกมาช่วยให้หน้ารูปปั้นเหมือนอินเดีย แรก ๆ หน้ามันออกมาเป็นไทยไปหมด
บริเวณโรงปั้นแต่ก่อนก็เป็นป่ารก พอคุณไสวไปอยู่ก็ค่อย ๆ กลายเป็นโรงปั้น ตอนแรกก็เป็นโรงสังกะสี ค่อย ๆ ทำต่อ ๆ มาจนเป็นโรงคอนกรีตถาวรในปัจจุบัน
ขั้นตอนในการทำก็ต้องเริ่มจากเขียนภาพขยายจากภาพเล็ก ๆ ให้โตได้ขนาดที่ต้องการ ลงในกระดาษที่เนื้อเหนียว ๆ พอได้ภาพที่พอใจแล้วก็เอาไปประกบที่ดินเหนียว ซึ่งทำได้ที่แล้ว ละเอียด เนื้อดี แล้วก็ตัดรอยภาพลงไปในดินเหนียว แล้วจึงเริ่มแกะดินเหนียว โดยดูภาพนั้นอยู่เรื่อย ๆ ไป เอาภาพถ่ายมาดู จนเป็นที่พอใจ แล้วก็หล่อด้วยปูนปลาสเตอร์เป็นเน้กตีฟ ต่อจากนั้นก็หล่อออกมาด้วยปูนซีเมนต์ เป็นภาพโพสิตีฟที่ใช้ได้ มันแกะดินเหนียวไม่ใช่แกะปูน แกะปูนก็ตายเลย ไม่มีทางทำได้
แกะดินเหนียวมีการปลุกปล้ำอยู่ ๒–๓ องค์ ท่านทองสุข (พระทองสุข ธมฺมวโร) มีฝีมืออย่างนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้แกะภาพอย่างนี้ เป็นคนมีฝีมือละเอียด เคยเป็นช่างตัดผม ก็สมัครเป็นช่างแกะดิน ในที่สุดทำได้นำหน้าใครหมด ภาพสวย ๆ กลม ๆ ฝีมือท่านทองสุขทั้งนั้น ภาพเชิญพระเกศาขึ้นสวรรค์ ภาพช้างนาฬาคีรี ภาพนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส เป็นฝีมือท่านทองสุข เป็นภาพละเอียดที่สุด ดีที่สุดคือภาพเชิญพระเกศาขึ้นสวรรค์ ใช้เวลาแกะดินเหนียว ๓ เดือน ด้วยความอดทนอย่างยิ่ง ภาพอื่น ๆ โดยมากหยาบ ๆ ก็ ๑๕ วัน ทำดีขึ้น ๆ จนภาพสุดท้ายถึง ๓ เดือนก็น่าพอใจ
นอกจากท่านทองสุข ก็มีคุณโกวิท และพระอื่น ๆ ร่วม ๑๐ องค์ครูสอนหัตถศึกษา ที่เขาพนมแบกก็มาช่วยทำ คนแกะทั้งหมดดูเหมือนจะมี ๑๐–๑๕ คน ทีนี้ก็กลุ่มกรรมกรก็มีคุณเดช (พระเดช ชิตจิตฺโต) เป็นผู้หล่อ หล่อไปหล่อมา และบดดินเหนียว ดินเหนียวต้องขุดขึ้นมาจากดินชั้นลึกตั้ง ๕๐–๖๐ เซนต์ จึงจะพบดินเหนียวที่ดีที่จะเอามาใช้ได้
การปั้นภาพกว่าจะเสร็จก็หลายปี จำไม่ได้ เริ่มสร้างโรงหนังราว ๒๕๐๕ ปลาย ๒๕๐๖ ทำโรงปั้น ทำเสร็จก็ช่วยหามกันมา
ผมก็ว่ามันประหลาด (หัวเราะ) มันฟลุค มันไม่เคยคิด ไม่เคยนึกว่าจะมีความสามารถเลย เรื่องอย่างนี้
ปะติดปะต่อหลังทุกเรื่องแล้วรู้สึกมันฟลุค มันฟลุคไปหมดทุกเรื่อง ความคิดความนึกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็ไปได้บุคคล ได้ปัจจัยอื่น ๆ มาได้อย่างไร มันประหลาด บุคคลอย่างคุณสาลี่มาช่วยมันก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน เคยแต่มาเที่ยว พอปรารภขึ้นก็สนใจเลยเป็นตัวตั้งตัวตี โรงหนังนี่เป็นเรื่องของคุณสาลี่ พันเอกสาลี่ ปาลกุล วิทยุสื่อสารทุกแห่ง วปถ. ทุกแห่งช่วยโฆษณาเรื่องนี้ และมีคนให้เงินช่วยเหลือ แกก็รวบรวมส่งมาที่นี่ ส่งมาที่นี่โดยตรงก็มี พระช่างปั้นช่างเขียนมันก็เป็นเรื่องฟลุค ไม่น่าจะมีได้ ถ้าเราเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ก็ต้องบอกว่ามีพระเจ้าหรือเทวดาบันดาล ไม่งั้นมันก็ต้องเป็นเรื่องฟลุค จนกระทั่งบัดนี้ คนนั้นทำนั่น คนนี้ทำนี่ ที่อยู่มานาน ๆ เคยช่วยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาแล้วทั้งนั้น อย่างท่านโพธิ์ (พระโพธิ์ จนฺทสโร) มาจัดสอนฝรั่ง ตอนนี้มันก็เป็นเรื่องฟลุค (หัวเราะ)
อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" น.๒๕๑–๒๕๔
No comments:
Post a Comment