Tuesday, October 12, 2010

พุทธประวัติ-0080-การตรัสรู้ของพระสิทธัตถะ

ภาพการตรัสรู้ของพระสิทธัตถะ ในสมัยพวกเรานี้ เขียนเป็นภาพคนนั่งโคนต้นไม้ริมแม่น้ำ มีอาทิตย์เวลารุ่งอรุณ, ส่วนภาพในหินสลักชิ้นแรกของโลก ได้สลักเป็นภาพดังภาพข้างบนนี้, คือบนบัลลังก์มีเครื่องหมายซึ่งเรียกว่า "ตรีรตนะ" อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ซึ่งมีกิ่งแยกออกเป็น ๓ ทาง มีฉัตรกั้นข้างบน มีเทวดาถือมาลาขนาบสองข้าง มีคนบูชาข้างละสอง รวมเป็น ๔ คน มีห่าฝนดอกไม้ของทิพย์. ทั้งหมดนั้นมีความหมายอย่างหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ ไม่ใช่ภาพเหมือน

-----------------------------------------------------------------------

ภาพนี้เป็นภาพการตรัสรู้; แทนที่จะสลักเป็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งโคนต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำ แล้วมีดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมา ดังที่เขียนกันอยู่ในเวลานี้ แต่กลับทำเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังที่ปรากฏอยู่ในภาพนี้ ซึ่งควรจะพิจารณาดูโดยละเอียด.

เครื่องหมายตรีรตนะในภาพนี้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า อยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม ซึ่งโดยทั่วไปก็เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีเครื่องหมายตรีรตนะดังในภาพนี้; จึงกล่าวได้ว่าคงจะถือเป็นกรณีพิเศษสำหรับภาพนี้ อย่าลืมว่า แท่นสี่เหลี่ยมใต้ต้นโพธิ์เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในหินสลักแบบสาญจี จนถือเป็นลักษณะเฉพาะของแบบสาญจี เพื่อแทนองค์พระพุทธเจ้า แม้ในกรณีที่เป็นการเสด็จดำเนินไปตามหนทาง หรือจงกรมบนผิวน้ำดังเช่นในภาพที่ ๔๓ เป็นต้น.

ตรีรตนะอยู่บนแท่น, แท่นอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่า โพธิฆรหรือเรือนพระโพธิ์ ซึ่งในภาพนี้ทำเหมือนซุ้มประตูมีหน้ามุข ๓ มุข ล้วนแต่มียอดแหลม ที่ช่องหน้าจั่วมุขมีกิ่งโพธิ์ออกมาทั้ง ๓ ช่อง, ช่องกลางแตกออกเป็น ๒ กิ่ง, เหนือต้นโพธิ์ขึ้นไปมีฉัตรซึ่งมีมาลัยแขวน มีเทวดาในลักษณะกินนรขนาบสองข้าง ถือเครื่องบูชาทั้งสองมือ, ใต้เทวดาลงมาตรง ๆ มีดอกไม้ทิพย์ร่วงลงมาจากสวรรค์เป็นการบูชาการตรัสรู้. ใต้ดอกไม้ลงมาตรง ๆ สองข้างเรือนพระโพธิ์นั้น มีคนยืนอยู่ข้างละสองคน ในลักษณะของเทวดา, ข้างเสาซุ้มเรือนพระโพธิ์ มีมาลัยแขวนอยู่อีกข้างละพวง. ริมบนสุดมีอักษรพราหมีอยู่หนึ่งบรรทัด เป็นชื่อเจ้าของทานผู้บริจาคเงินสร้างหินสลักส่วนนี้.

สิ่งที่ควรสังเกตบางอย่างในภาพนี้ เช่นตรีรตนะมีเปลวข้างบนเป็นห้าแฉก แทนที่จะเป็นสามแฉกเหมือนที่ปรากฏในที่อื่นทั่ว ๆ ไป, หรือที่มีลักษณะคล้ายกับว่ามีเพียงสองแฉกซึ่งกระเดียดไปในทางที่จะเป็นนันทิบทของฮินดู เพราะทำแฉกตรงกลางต่ำเกินไป. ซุ้มเรือนพระโพธิ์นี้ ถูกคาดไว้โดยรอบด้วยลายรั้วแบบรั้วอโศก ซึ่งควรสนใจไว้ เพราะจะพบในภาพอื่นที่สำคัญกว่านี้ และเป็นลักษณะเฉพาะของแบบสาญจีเป็นพิเศษ ทำนองว่าลวดลายนี้ก็เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ซุ้มจั่วนั้นแม้จะทำด้วยหินแล้ว ก็ยังทำให้มีลักษณะเหมือนทำด้วยไม้อีกตามเคย เช่น มีส่วนหัวของไม้แปแลบออกมาให้เห็นเป็นจุด ๆ รอบจั่วนั้น.

ในแง่ของธรรมะ อาจจะตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมศิลปินจึงออกแบบให้มีมุข ๓ มุข หรือมีกิ่งโพธิ์แลบออกมา ๓ กิ่ง. เข้าใจว่าคงจะมีความหมายอย่างเดียวกับตรีมูรติ (พระเจ้าสามองค์ในองค์เดียวกัน) ซึ่งได้ทำให้กลายเป็นต้นกำเนิดของตรีรตนะหรือตรีมูรติตามความหมายของพุทธศาสนาเองในภายหลัง ทำนองเดียวกับเครื่องหมายตรีรตนะที่อยู่บนแท่นข้างล่างนั่นเอง. การที่ทำให้กิ่งโพธิ์ในซุ้มกลาง มีกิ่งแตกออกไปมากกว่าในซุ้มสองข้างนั้น เข้าใจว่าคงมิใช่เพื่อความงาม หรือความจำเป็นในทางศิลป์บังคับให้ทำเช่นนั้น แต่อาจจะเป็นเจตนาต้องการแสดงความหมายโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษก็ได้ เพราะซุ้มกลางย่อมเล็งถึงพระธรรม ซึ่งย่อมจะมีอะไรมากกว่าซุ้มทั้งสองข้าง ซึ่งเล็งถึงพระพุทธ และพระสงฆ์เป็นธรรมดา. ข้อที่พระธรรมมีอะไรมากกว่า หรือสำคัญกว่า หรือเหนือกว่าพระพุทธและพระสงฆ์นั้น ควรตั้งข้อสังเกตกันไว้เพื่อทำการศึกษาให้เข้าใจจริง ๆ โดยอาศัยหลักพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้เมื่อคราวตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ ว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพพระธรรม, มิใช่อยู่โดยไม่เคารพอะไร.

สำหรับภาพคนที่ยืนอยู่ข้างโพธิฆรข้างละ ๒ คนนั้น คงจะไม่ใช่ภาพเจ้าของทานดังที่บางคนเข้าใจ เพราะแบบเช่นนั้นแสดงว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นมนุษย์ จึงเข้าใจว่าเป็นท้าวโลกบาลทั้งสี่, หรือที่เรียกรวมกันเป็นชุดว่า จตุโลกบาล, แทนในนามของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มารับรู้ในการตรัสรู้ หรือกล่าวอย่างตรง ๆ ก็ว่า การตรัสรู้นั้นได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในสากลจักรวาลนั่นเอง. สำหรับเทวดาแบบกินนร ๒ ตัวข้างบนเป็นเพียงส่วนประกอบของต้นโพธิ์ตามแบบของศิลปะ

สาญจี ดังที่เคยกล่าวมาข้างต้น. ของบูชาที่เป็นทิพย์ ที่ร่วงลงมาจากสวรรค์แน่นขนัดดังห่าฝนนั้นมีความหมายถึงการบูชาอย่างใหญ่หลวงของเทวดา ทุกคราวที่เทวดามีความพอใจถึงที่สุด และคำกล่าววว่าดอกไม้ทิพย์ได้ร่วงลงจากสวรรค์นี้ ได้กลายเป็นธรรมเนียมไป ในเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญทำนองนี้หรือเท่านี้เกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์.

ในแง่ของศิลปกรรม ควรจะสังเกตในข้อที่ศิลปินเหล่านี้ไม่ทำภาพการตรัสรู้เป็นการนั่งใต้ต้นโพธิ์ริมแม่น้ำ และมีดวงอาทิตย์อุทัยเหมือนที่ทำกันในยุคนี้ ซึ่งมีความหมายในทางธรรมะน้อยเกินไป ไม่สมแก่บุคคลสำคัญเช่นพระพุทธเจ้า, ข้อนี้ทำให้เรานึกกว้างออกไปว่า พวกเราสมัยนี้หมุนมาติดในทางรูปธรรมกันมากเกินไป จนไม่ค้นคว้าความหมายในทางธรรมหรืออะไร ๆ ที่ลึกไปกว่ารูปธรรม เราจึงค่อยกลายมาเป็นวัตถุนิยมกันยิ่งขึ้นจนมีบาปและต้องรับบาปเพราะเหตุนั้น. แม้ว่าในสมัยนี้เราจะมีศิลปะประเภทแอ๊ปสแตร็คต์ หรือโมดเดิลอาร์ตกันเป็นบ้าเป็นหลัง ก็ยังมีความหมายที่ไปติดอยู่ในรูปธรรมอีกนั่นเอง, ไม่เลยออกไปถึงนามธรรมในระดับของคนโบราณได้เลย. ดังนั้น การศึกษาวิธีของศิลปะยุคสองพันกว่าปีมาแล้วกันไว้บ้าง อาจจะช่วยให้เราใช้ศิลปะไปในทางที่จะเป็นเครื่องดับทุกข์ในโลกนี้ได้ตามส่วนสัดแห่งค่าของศิลปะนั้น ๆ. เราต้องไม่ลืมว่า ศาสตร์ หรือศิลป์แขนงไหนก็ตาม ถ้าไม่มีจุดมุ่งไปในทางช่วยกันกำจัดความทุกข์ของโลกโดยปริยายใดปริยายหนึ่งแล้ว ศิลปะนั้นจะมีค่าเหมือนขยะมูลฝอยที่มีสีสันแปลกประหลาดและชวนรำคาญตาอย่างยิ่งเท่านั้นเอง; ควรระวังในการที่ลืมตัวไปเห่อตามศิลป์ที่เมาวัตถุของสมัยนี้กันให้มากสักหน่อย ศิลปะไทยของชาวพุทธจึงจะเป็นไทยไม่พ่ายแพ้แก่อวิชชา ซึ่งกำลังครอบคลุมโลกยิ่งขึ้นทุกที และยิ่งไปบูชามันมากยิ่งขึ้นทุกทีเหมือนกัน.

No comments:

Post a Comment